บทความ

เทคนิคการขับรถให้ประหยัดน้ำมัน

          หลายคนยังต้องเดินทางด้วยรถยนต์ทุกวัน จึงนำเทคนิคการขับรถให้ประหยัดน้ำมันแบบง่ายๆ นำไปปฏิบัติได้ทันที และยังเป็นการถนอมเครื่องยนต์ให้เสื่อมสภาพช้าลงมาฝากกัน

  1. ใช้ความเร็วคงที่ 80-90 กม./ชม. เนื่องจากช่วงความเร็วนี้ รถจะมีประสิทธิภาพการเผาผลาญเชื้อเพลิงได้ดีที่สุด จึงช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 20%
  2. ไม่เบิ้ล ไม่กระชาก ไม่ลากเครื่องยนต์ การเร่งเครื่อง เหยียบคันเร่งจนมิด น้ำมันจะถูกฉีดเข้าห้องเผาไหม้ตามน้ำหนักเท้าของเรา ยิ่งเหยียบหนัก ยิ่งสิ้นเปลืองน้ำมันมาก การค่อยๆ เหยียบคันเร่ง ขับรถให้นิ่มนวล ใช้ความเร็วสม่ำเสมอ จะประหยัดน้ำมันทันทีโดยอัตโนมัติ
  3. ไม่เบรกกะทันหัน ทำให้รถต้องเปลี่ยนเกียร์เร็ว กระตุ้นให้เครื่องยนต์ทำงานหนักโดยไม่จำเป็น การเร่งความเร็วบ่อยครั้งและเบรกอย่างหนัก จะเพิ่มอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และลดประสิทธิภาพของเบรก หมั่นสังเกตสถานการณ์รอบข้างตลอดเวลา เมื่อมีสิ่งกีดขวางสามารถค่อยๆ ชะลอความเร็วได้ จะช่วยรักษาสภาพล้อยาง และผ้าเบรกให้สึกหรอน้อยลงได้
  4. เติมลมยางตามกำหนดที่คู่มือรถแนะนำ จะช่วยลดการเผาผลาญเชื้อเพลิง หากลมยางอ่อนเกินไป ทำให้หน้ายางเสียดสีกับพื้นถนนมาก หรือการที่ลมยางแข็งเกินไป การยึดเกาะถนนน้อยลง เครื่องยนต์ทำงานหนักโดยไม่จำเป็น จึงสิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่าปกติ

          ได้เทคนิคขับรถให้ประหยัดน้ำมันกันแล้ว อย่าลืมตรวจเช็กสภาพรถ วางแผนการเดินทาง ปฏิบัติตามกฎจราจร เพื่อการขับขี่ปลอดภัยทุกเส้นทาง

บทความ

ต่อภาษีรถใหม่ ไม่ต้องไปขนส่งฯ เปิดขั้นตอนทำได้บนมือถือ

           ต่อภาษีรถใหม่ ไม่ต้องไปขนส่งฯ เปิดขั้นตอนทำได้บนมือถือ

           กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ประกาศข่าวดีครั้งใหญ่ ปฏิวัติการชำระภาษีรถยนต์ประจำปีให้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยการเปิดให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลเต็มรูปแบบ ทั้งแอปพลิเคชันบนมือถือและตู้ Kiosk อัตโนมัติ โดยมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพิ่มความสะดวกและลดเวลาอย่างมาก

           ช่องทางต่อภาษีรถ มี 2 ช่องทาง

          สำหรับช่องทางใหม่ที่ กรมการขนส่งทางบนได้อำนวยความสะดวกแก่ เจ้าของรถสามารถเลือกใช้บริการได้ 2 ช่องทางคือ

  1. แอปพลิเคชัน “DLT Vehicle Tax Plus”

         ยกสำนักงานขนส่งมาไว้ในมือคุณ สามารถทำธุรกรรมได้ทุกที่ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชันและลงทะเบียนเพื่อใช้งาน รองรับทั้งมือถือ Android และ iOS

  1. ตู้ Kiosk อัตโนมัติ

         บริการตู้ชำระภาษีอัตโนมัติที่ติดตั้ง ณ สำนักงานขนส่งทั่วประเทศ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความรวดเร็ว และ จุดเด่นสำคัญคือสามารถพิมพ์เครื่องหมายแสดงการเสียภาษี (ป้ายวงกลม) ได้ทันที

           รถประเภทไหนใช้บริการได้บ้าง?

          บริการใหม่นี้รองรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลที่จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ดังนี้

รย.1: รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รถเก๋ง)

รย.2: รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน (รถตู้)

รย.3: รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (รถกระบะ)

รย.12: รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล

         แต่สำหรับรถที่มีอายุการใช้งานเกินกำหนด (รถยนต์เกิน 7 ปี, รถจักรยานยนต์เกิน 5 ปี) หรือรถที่ค้างชำระภาษีเกิน 1 ปี จำเป็นต้องนำรถไปตรวจสภาพกับสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) ให้เรียบร้อยก่อน จึงจะสามารถใช้บริการผ่านช่องทางใหม่นี้ได้

          ขั้นตอนการต่อภาษีรถ โดยใช้แอป DLT 

         หลังรู้เกี่ยวกับรถยนต์ที่สามารถใช้ต่อทะเบียนออนไลน์แล้วใน Application จะต้องดาวน์โหลดก่อนผ่านทาง Store ของทั้ง มือถือ Android และ iOS จะต้องมีเรื่องที่ต้องรู้ดังนี้

  1. ผู้ใช้งานครั้งแรกต้องลงทะเบียนและยืนยันตัวตนผ่านระบบ Digital ID เช่น แอปพลิเคชัน ThaID เพื่อความปลอดภัยในการทำธุรกรรม
  2. ระบุข้อมูลเกี่ยวกับรถที่ต้องการชำระภาษี
  3. สามารถเลือกชำระได้ทั้งผ่านThai QR Code หรือหักบัญชีธนาคาร
  4. รับหลักฐานการต่อทะเบียน โดยผ่านช่องทางดังนี้

              – ผ่านแอปพลิเคชัน: ระบบจะจัดส่งเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีให้ทางไปรษณีย์

              – ผ่านตู้ Kiosk: สามารถรับเครื่องหมายฯ ที่พิมพ์จากตู้ได้เลยทันที

           เรียกว่าการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ถ่อเป็นการยกระดับการให้บริการภาครัฐสู่ยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง ช่วยให้เจ้าของรถสามารถจัดการเรื่องภาษีได้อย่างสะดวกสบาย ตรวจสอบข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ และประหยัดเวลาได้อย่างมหาศาล ใครที่กำลังจะต่อภาษีรถ อย่าลืมนำวิธีนี้ไปใช้เพื่อลดเวลาด้วยนะคะ

 

บทความ

ยกก้านปัดน้ำฝน ช่วยยืดอายุใบปัด จริงไหม?

       บางท่านจำเป็นต้องจอดรถกลางแดดเป็นเวลานาน “ด้วยเกรงว่ายางใบปัดน้ำฝนจะเสื่อมสภาพจากความร้อน จึงยกขาก้านปัดน้ำฝนขึ้นขณะจอดตากแดด”

        แต่… ท่านหารู้หรือไม่ว่า  สปริงในก้านที่ปัดน้ำฝนจะอ่อน และเสียเร็วขึ้น ส่วนสำคัญที่ทำให้ที่ปัดน้ำฝนทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพประกอบด้วย ใบปัด แผ่นยาง ซึ่งทำหน้าที่รีดน้ำจากกระจกบังลมหน้า ปกติจะมีอายุการใช้งานประมาณ 1-2 ปี หากใช้นานกว่านั้นเนื้อยางจะแข็งตัวหรือมีการฉีกขาด ไม่ว่าจะยกไว้หรือไม่ก็ตาม อีกส่วนคือ ก้านใบปัด ที่มีสปริงคอยดึงให้ใบปัดแนบสนิทกับกระจก ซึ่งรับแรงจากคันโยก และมอเตอร์ ตัวนี้มีราคาสูงกว่าใบปัด การยกก้านเมื่อจอดตากแดด สปริงจะถูกดึงให้ยืดออกตลอดเวลา อายุการใช้งานสั้นลง ทำให้ต้องจ่ายแพงกว่าเดิมหลายเท่าถ้าต้องเปลี่ยนทั้งชุด

        หากจำเป็นต้องจอดรถกลางแจ้ง ไม่ต้องยกขาก้านปัดน้ำฝนขึ้น เพราะนอกจากไม่ได้ช่วยยืดอายุใบปัดแล้ว ยังทำให้สปริงในก้านที่ปัดน้ำฝนเสียเร็วขึ้น

        เพราะใบปัดน้ำฝนที่ทำจากยาง ไม่ว่าคุณภาพดี และแพงแค่ไหน ก็ต้องเสื่อมสภาพด้วยกันทั้งนั้น จะยกใบปัดขึ้น ไม่ให้ถูกกระจก หรือไม่ยกเลย อายุการใช้งานของใบปัดก็ไม่ต่างกัน เพราะใบปัดน้ำฝนจะมีอายุประมาณ 1 ปีเศษๆ ถ้าเริ่มปัดแล้วไม่เกลี้ยง รีบเปลี่ยนใหม่ได้เลย

       การยกขาก้านปัดค้างไว้นานๆ ยังส่งผลกระทบต่อสปริง ที่เหนี่ยวรั้งก้านใบปัดให้แนบชิดสนิทกับกระจกด้วย ซึ่งก้านเหล่านี้รับแรงมาจากลิงค์คันโยก และมอเตอร์ไฟฟ้า ถ้าสปริงนี้เกิดล้า นอกจากทำให้ใบปัดไม่แนบชิดกับกระจกแล้ว ถ้าต้องเปลี่ยน ยังมีราคาที่สูงกว่าใบปัดหลายเท่า

        วิธีเช็กว่ายางปัดน้ำฝนว่าเสื่อมสภาพหรือยัง ไม่ได้ดูที่เนื้อยางว่าไม่ฉีกขาดเท่านั้น ต้องดูที่ความสามารถในการกวาดหยดน้ำที่ผิวกระจกว่าเกลี้ยงหรือไม่ด้วย ถ้าเอายางปัดน้ำฝนมาดูผ่านแว่นขยาย จะเห็นว่าตรง “คม” ของมันมีลักษณะเป็นมุมฉาก แต่ละมุมทำหน้าที่กวาดน้ำทางใดทางหนึ่งโดยเฉพาะ และจะลู่เอนเล็กน้อยขณะทำงาน มุมฉากนี้จะมีรูปทรงพิเศษ ซึ่งได้จากการวิจัยทดสอบกันมาหลายสิบปี ว่ากวาดน้ำได้เกลี้ยง ไม่ส่งเสียงดัง และมีอายุใช้งานนานเพียงพอ

         สำหรับการใช้งานที่ถูกต้อง คือ ห้ามใช้งานขณะกระจกแห้งเด็ดขาด บางคนใช้ปัดฝุ่นจากกระจก ปัด 3-4 ที คมของมันก็สึกจนหมดอายุแล้ว จำไว้เลยว่า ก่อนจะปัดใบปัดน้ำฝน ต้องฉีดน้ำใส่กระจกก่อนเสมอ

บทความ

5 ข้อควรรู้! เมื่อรถชนหนัก จนต้องขายซากรถยนต์

     ต้องบอกก่อนว่าขั้นตอนการ ซื้อ-ขายซากรถยนต์ ไม่ได้แตกต่างจากการซื้อ-ขายรถมือสองแต่อย่างใด หรือพูดง่าย ๆ ว่าต้องมีการทำ “สัญญาซื้อขาย” เช่นกัน เพื่อป้องกันการสวมรวยแอบอ้างขาย นอกจากนี้ยังมีข้อควรรู้อื่น ๆ อีกมากมาย ที่คุณควรทำความเข้าใจตัดสินใจขายซาก ดังนี้

     1. ขายซากรถต้องมี “เล่มทะเบียน”
     ในกรณีที่รถยนต์จอดทิ้งไว้นาน จะเลือกซ่อมก็ไม่คุ้มค่าราคาจ่าย หากคุณต้องการ ปล่อยขายซากรถ การขายแบบมีเล่มทะเบียนจะช่วยให้ได้ราคาขายที่ดีกว่า สูงกว่าแบบไม่มีเล่ม ประกอบกับจะต้องไปตรวจสอบเรื่อง “ภาษีประจำปี” ร่วมด้วย ควรทำการแจ้งยกเลิกที่กรมขนส่งทางบกในกรณีที่ยังไม่หมดอายุ ป้องกันการถูกสวมทะเบียน

     ในส่วนนี้คุณจะต้องให้ความสำคัญมาก ๆ ทั้งเล่มทะเบียนและภาษีประจำปี เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับ “กฎหมาย” โดยตรง หากคุณรวบรัดตัดความเพื่อต้องการปล่อยขายให้เร็วที่สุด คุณอาจจะ “เข้าข่าย” กระทำความผิดด้านใดด้านหนึ่ง หรือเกิดความเสียหายตามมาในภายหลังก็เป็นได้

     2. น้ำท่วม vs อุบัติเหตุ ส่งผลต่อการประเมินราคาซากรถ
     เพราะการที่รถของคุณกลายเป็นซากรถ กรณีที่เกิดจากน้ำท่วม แน่นอนว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นย่อมน้อยกว่าการเกิดอุบัติเหตุอยู่แล้ว ส่งผลให้ราคาขาย “อาจจะ” สูงกว่า เนื่องจากคนที่รับซื้อสามารถนำไปซ่อมแซมได้ง่าย หากเทียบกับกรณีที่รถเป็นซากจากการเกิดอุบัติเหตุ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตีราคาของคนที่รับซื้อด้วย หากคุณมองว่าเป็นราคาที่สมเหตุสมผล จะตัดสินใจขายหรือไม่ขายขึ้นอยู่กับคุณแล้ว

     3. “ขายรถติดไฟแนนซ์” ขายเองไม่ได้
    สำหรับซากรถยนต์ที่ยังติดไฟแนนซ์ หรือพูดง่าย ๆ ว่ายังผ่อนไม่หมด ตามกฎหมายแล้วกรรมสิทธิ์ของรถยนต์คันนั้น ๆ จะเป็นของบริษัทไฟแนนซ์ หากจะนำไปขายโดยพลการรับรองว่ามีความผิดฐาน “ลักทรัพย์” แน่นอน และต่อให้ขายได้ แต่ตัวรถไม่สามารถโอนได้

     แนะนำให้ปิดยอดให้เรียบร้อยก่อน หรือไม่อย่างนั้นลองคำนวณดูก่อนว่า เงินจากการขายซากรถจะเพียงพอต่อการปิดยอดหรือไม่ หากไม่พออาจจะยืดการขายออกไปก่อนหรืออีกทางหนึ่งคือรีบหาเงินมาเสริมเพื่อโปะยอดให้ได้โดยเร็วที่สุด

     4. ประกันรถยนต์ vs ไม่มีประกัน “ไม่เหมือนกัน”
    สำหรับรถยนต์ที่มีประกัน หากประเมินแล้วค่าซ่อมเกิน 70% ของมูลค่ารถ คุณจะได้รับ “ทุนประกันคืน 100%” และบริษัทประกันรถยนต์จะเป็นฝ่ายนำรถไปขายเอง แต่ถ้าหากคุณต้องการเพียงแค่ “เงินประกัน” อย่างเดียว ก็สามารถทำได้เช่นกัน

     5. เอกสารที่ต้องใช้ในการขายซากรถ
     อย่างที่บอกไปในช่วงแรกแล้วว่า “การขายซากรถไม่ได้ต่างจากการขายรถมือสอง” แต่อาจจะมีขั้นตอนที่ง่ายกว่า โดยเฉพาะซากรถเก่าที่ไม่ใช้งานมานาน สามารถตกลงซื้อ-ขายได้ทันที เพียงแต่จะมี “เล่มทะเบียน” มอบให้กับคนที่รับซื้อด้วย ต่อจากนี้เหลือแต่ตกลงราคาซื้อ-ขายกันแล้วว่า ตรงตามความต้องการของทั้ง 2 ฝ่ายหรือไม่

บทความ

รถยนต์ไฟฟ้า (EV) vs รถยนต์ทั่วไป ดูแลอย่างไรให้พร้อมลุยในช่วงหน้าฝน

    หน้าฝนทีไร คนใช้รถก็แอบกังวลทุกที เพราะไม่ใช่แค่เรื่องถนนลื่นหรือทัศนวิสัยที่แย่ลงเท่านั้น แต่ยังต้องคอยระวังน้ำท่วมขัง ความชื้นสะสม รวมถึงปัญหาระบบไฟฟ้าที่อาจตามมา โดยเฉพาะรถน้ำมันและรถไฟฟ้า (EV) ที่แม้จะดูคล้ายกันในแง่ของการใช้งาน แต่ระบบภายในนั้นแตกต่างกันเป็นอย่างมาก จึงต้องการการดูแลที่แตกต่างกันช่วงหน้าฝน

    รถยนต์ทั่วไป (เครื่องยนต์สันดาป)

    – ระบบเบรกและยาง : ฝนตกทำให้เบรกทำงานช้าลง ควรตรวจสอบแผ่นเบรก ดิสก์เบรก ระดับน้ำมันเบรก และระบบเบรกโดยรวม รวมถึงเช็กสภาพและลมยางให้เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงจากการลื่นไถล

    – ใบปัดน้ำฝน : ควรตรวจสอบสภาพการใช้งานอยู่เสมอ หากมีรอยสึกหรือปัดน้ำไม่สะอาด ควรล้างทำความสะอาดหรือเปลี่ยนใหม่ โดยแนะนำให้เปลี่ยนทุก 6 เดือนเพื่อทัศนวิสัยที่ชัดเจนขณะขับขี่

    – ระบบไฟและแบตเตอรี่ : ตรวจสอบไฟหน้ารถ ไฟท้าย และไฟเบรก พร้อมทำความสะอาดเลนส์ไฟให้สว่างชัดเจน และเช็กขั้วแบตเตอรี่กับระดับน้ำกลั่น เพื่อให้ระบบไฟทำงานเต็มประสิทธิภาพ

    – การขับขี่บนถนนเปียก : ควรลดความเร็ว รักษาระยะห่างจากรถคันหน้า หลีกเลี่ยงการเบรกกะทันหันและเปลี่ยนเลนบ่อย รวมถึงควรเปิดไฟหน้ารถเพื่อเพิ่มทัศนวิสัยในช่วงฝนตก

     รถยนต์ไฟฟ้า (EV)

    – การขับขี่ในถนนเปียก : ควรเช็กระบบเบรกและยางทุกครั้งว่าสามารถใช้งานได้ปกติหรือไม่ เช่นเดียวกับรถน้ำมัน

    – ใบปัดน้ำฝน : เช็กสภาพใบปัดน้ำฝนว่ามีการเสื่อมสภาพหรือไม่ และควรเปลี่ยนใหม่ทันทีเพื่อทัศนวิสัยที่ดีในการขับขี่

    – การชาร์จไฟ : แท่นชาร์จรถ EV ออกแบบมาให้มีระบบป้องกันน้ำขังและตัดไฟรั่ว ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยแม้ฝนตก แต่ควรตรวจสอบให้หัวชาร์จแห้งและอยู่ในสภาพสมบูรณ์ก่อนใช้งาน

    – การขับขี่ขณะฝนตก : รถ EV มีระบบป้องกันไฟรั่วและลัดวงจรตามมาตรฐาน IP67 สามารถลุยน้ำลึกไม่เกิน 1 เมตรได้นาน 30 นาที แต่ควรขับอย่างระมัดระวัง และนำรถเข้าตรวจเช็กหากลุยน้ำเป็นเวลานาน

     ไม่ว่าจะรถน้ำมันหรือรถ EV ถ้าเรารู้จักดูแลอย่างถูกวิธี ก็สามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัยในทุกฤดู โดยเฉพาะหน้าฝนที่มีความเสี่ยงมากขึ้น การหมั่นตรวจสอบรถก่อนใช้งาน และใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ จะช่วยให้เราปลอดภัยทั้งตัวรถและตัวเรา

บทความ

วิธีถนอมแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้มีอายุการใช้งานยาวนานยิ่งขึ้น ลดโอกาสแบตเตอรี่เสื่อมเร็วผิดปกติ สามารถทำได้ง่ายๆ 4 วิธี ดังนี้

  1. ไม่ชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้านานเกินไป

          ในการชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้านั้นไม่จำเป็นต้องชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็ม 100%  เพราะการชาร์จแบตรถยนต์ไฟฟ้า 100% บ่อยๆ  ก็อาจส่งผลทำให้แบตเตอรี่เสื่อมได้เช่นกัน แบตเตอรี่ควรประจุไว้ที่ 20-80%

  1. ไม่ควรปล่อยให้แบตเตอรี่ต่ำจนเกินไป

         แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าไม่ควรปล่อยให้ต่ำกว่า 20% หรือปล่อยทิ้งไว้ให้แบตใกล้หมดแล้วถึงจะชาร์จ ซึ่งการทำแบบนี้จะส่งผลให้คุณภาพของแบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้น หรือทำให้มีอายุการใช้งานน้อยลง อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าระบบแบตเตอรี่นั้นควรจะอยู่ที่ระดับ 20% ไม่ควรต่ำกว่านี้

  1. ไม่ควรจอดรถยนต์ EV ไว้กลางแจ้งเป็นเวลานานๆ

         ความร้อนจากแดดนั้นก็สามารถสร้างความเสียหายให้กับแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าได้เช่นกัน เพราะการจอดในที่โล่งแจ้งจะทำให้รถนั้นได้รับความร้อนจากแดดโดยตรง เมื่อเจอความร้อนนานๆ อาจส่งผลให้เซลล์เสียหายและทำให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่สั้นลง และยังส่งผลให้ความจุมีการสูญเสียอย่างกระทันหันได้ด้วยเช่นกัน

  1. ไม่ควรชาร์จแบตรถแบบเร็วบ่อยๆ

         การชาร์จแบบเร็วในที่นี้คือการชาร์จแบบ DC แน่นอนว่าการชาร์จแบบ DC มีข้อดีคือทำให้ชาร์จไฟได้รวดเร็ว แต่รู้ไหมว่าการชาร์จแบบเร็ว จะใช้กระแสไฟที่สูงหรือจะนวนมากๆ ในเวลาอันรวดเร็วซึ่งส่งผลต่อแบตเตอรี่เนื่องจากในระหว่างการชาร์จ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในเคมีภายในแบตเตอรี่ ทำให้แบตมีอุณหภูมิที่สูงหรือมีความร้อนสะสม สร้างความเครียดให้กับแบตเตอรี่รถ EV ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แบตมีอายุการใช้งานที่สั้นลงด้วยเช่นกัน

         หากปฏิบัติตามข้อแนะนำข้างต้นได้เป็นประจำแล้วล่ะก็ รับรองว่าแบตเตอรี่ก็จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ไม่เสื่อมไวอย่างแน่นอน 

บทความ

อัพเดทกฎหมายเมาแล้วขับ ปี 2568 มีโทษอย่างไร?

        วันนี้เรามาอัพเดทกฎหมาย เมาแล้วขับ ปี 2568 กันหน่อย ว่าบทลงโทษมีอะไรบ้าง เพื่อตั้งสติก่อนออกไปดื่ม และลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับตนเอง และผู้อื่น

         ดื่มแค่ไหนถึงเรียกว่า เมาแล้วขับ 

         ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ 

        – หากปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะถือว่าเป็นผู้เมาเเล้วขับ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกพักใช้ใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน

         ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ 

       – สำหรับผู้ขับขี่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี หรือมีใบอนุญาตขับรถชั่วคราว ห้ามมีปริมาณแอลกอฮอลในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ โดยจะถือว่าเป็นผู้เมาสุรา

         ไม่ยอมเป่าวัดแอลกอฮอล์

        การปฏิเสธการเป่าวัดแอลกอฮอล์ ถือว่าเป็นการยอมรับว่าเมาแล้วขับ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับตั้งแต่ 10,000-20,000 บาท ระงับใบขับขี่ไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ศาลสามารถสั่งพักใบขับขี่ และเพิกถอนใบอนุญาตขับรถได้

         โทษเมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ-เสียชีวิต

         เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ

        จำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี ปรับ 20,000-100,000 บาท และถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับรถไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ

         เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส

        จำคุกตั้งแต่ 2-6 ปี ปรับ 40,000-120,000 บาท ระงับใบอนุญาตขับรถไม่น้อยกว่า 2 ปี

         เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

        จำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี ปรับตั้งแต่ 60,000-200,000 บาท และเพิกถอนใบอนุญาตขับรถทันที

        ทางที่ดีเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง และเพื่อนร่วมทาง หากจำเป็นต้องไปดื่มจริงๆ ให้กลับแท็กซี่ หรือให้เพื่อน (ที่ไม่ดื่ม) ขับรถแทน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้มากขึ้น

บทความ

ประกันรถยนต์ชั้น 1 ซ่อมห้าง ( ซ่อมศูนย์ ) กับซ่อมอู่แตกต่างกันอย่างไร?

           ประกันรถยนต์ชั้น 1 ซ่อมห้าง

          ประกันรถยนต์ชั้น 1 ซ่อมห้าง  หรือ ซ่อมศูนย์ นั้น คือการซ่อมที่ศูนย์รถยนต์ของยี่ห้อที่รถมา ซึ่งปกติก็จะเป็นศูนย์ที่เราออกรถนั่นเอง ข้อดีของการซ่อมห้าง หากรถคุณเป็นรถรุ่นใหม่ๆ ซ่อมห้าง จะมีอะไหล่ใหม่รับรองให้คุณมากกว่า ขระที่ซ่อมอู่ อาจจะหาอะไหล่ไม่ได้ และต้องรอสั่ง โดยอะไหล่ที่ได้ จะเป็นของแท้แน่นอน อุ่นใจ เพราะสั่งตรงจากโรงงานรถยนต์ของยี่ห้อของคุณและหากรถคุณมีปัญหาเฉพาะภายในเครื่องยนต์ อู่ศูนย์จะเชื่อใจได้มาก เพราะจะมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะประจำอยู่ งานส่วนมากจะเนี้ยบ ได้มาตรฐาน

           ข้อเสียของการซ่อมห้าง

          ราคาที่จ่ายจะแพงกว่าซ่อมอู่ และอาจค่าเสียส่วนต่างเพิ่มด้วย พร้อมกับระยะเวลานานกว่ามาก ตั้งแต่การรอคิวที่นานมาก และการซ่อมก็ใช้เวลานานกว่าและบางจังหวัด บางสถานที่ ก็ไม่มีศูนย์บริการ จึงอาจมีปัญหาที่การเข้าถึงได้นั้นเอง…

            ประกันรถยนต์ชั้น 1 ซ่อมอู่ คืออะไร

            ประกันรถยนต์ชั้น 1 ซ่อมอู่ คือการนำรถไปเข้าอู่ซ่อมรถทั่วไปตามปกตินั่นเอง ซึ่งจะแยกเป็น 2 ประเภท คือ อู่ในเครือบริษัทประกันรถยนต์ กับ อู่นอกเครือบริษัทประกันรถยนต์

            อู่ของเครือบริษัทประกันรถยนต์ – อู่ที่ผ่านการรองรับมตราฐานจากบริษัทประกันที่ทำไว้ ในกรณีที่นำรถไปเคลมประกันหรือไปซ่อมที่อู่ จะสามารถนำรถเข้าซ่อมได้เลย และเมื่อซ่อมเสร็จก็นำออกมาใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเงินหรือสำรองจ่ายออกไปก่อน

            อู่ที่ไม่อยู่ในเครือบริษัทประกันรถยนต์ – อู่ที่ไม่ได้อยู่ในการรับรองของบริษัทประกันรถที่เราทำไว้ เช่น อู่ซ่อมรถใกล้บ้าน หรืออู่ที่เรารู้จัก ทำให้ต้องสำรองเงินจ่ายไปก่อน จากนั้นจึงค่อยนำใบเสร็จไปเบิกกับบริษัทประกันรถยนต์ในภายหลัง

             ข้อดี

             ค่าเบี้ยประกันที่จะต้องจ่ายนั้นถูกกว่าซ่อมห้าง มีตัวเลือกที่เข้าซ่อมมากกว่าสามารถเลือกซ่อมใกล้บ้านหรือที่เราสะดวกได้เลย ซึ่งนั่นก็หมายถึงราคาค่าใช้จ่ายในการซ่อมที่ต่ำกว่าและสามารถต่อรองได้ และใช้ระยะเวลาซ่อมไม่นานอีกด้วย

            ข้อเสีย

            โดยมากที่มักพบปัญหาคืออะไหล่ที่ใช้ในการซ่อม บางครั้งอาจไม่ใช่อะไหล่แท้ หรืออาจจะนำอะไหล่เก่ามาเปลี่ยนให้รถเราซึ่งเมื่อเกิดปัญหาหลังซ่อม บางอู่อาจจะไม่รับผิดชอบงานซ่อมบางครั้งอาจจะไม่ประณีตเรียบร้อยเท่าซ่อมห้างรวมถึง   อาจจะโดนโกงเรื่องค่าอะไหล่ ค่าแรง ได้ง่าย

บทความ

เคล็ดลับ ป้องกันการปวดหลังจากการขับรถ

       เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณต้องเดินทางไกล การขับรถนานๆ มักเกิดอาการปวดหลังนั่นไม่ใช่เรื่องแปลก ยิ่งถ้าเป็นช่วงเวลาที่การจราจรติดขัดด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ต้องนั่งเกร็งอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าหากปวดบ่อยๆ ขับนิดๆ หน่อยก็เริ่มปวดแล้ว จนเริ่มมีความกังวลว่าอาการปวดหลังเริ่มจะเรื้อรังแล้วหรือไม่? ก่อนจะสายเกินไปมาดู 5 เคล็ดลับที่จะช่วยป้องกันอาการปวดหลัง ด้วยวิธีปรับท่าทางในการนั่งขับรถ ดังต่อไปนี้

  1. ปรับเบาะให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง

      หากคุณไม่ได้เป็นคนใช้รถคนเดียวในบ้าน และมีสมาชิกคนอื่นๆ ใช้รถคันเดียวกับคุณ ดังนั้นสิ่งแรกที่ควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนขับรถออกไป ก็คือการปรับเบาะที่นั่งให้ถูกต้อง เช่น มุมองศาพนักพิงควรอยู่ประมาณ 110-130 องศา เพื่อป้องกันไม่ให้หลังทรุดหรือเอื้อมไปข้างหน้ามากเกินไป ซึ่งการนั่งในตำแหน่งที่ถูกต้องจะช่วยป้องกันการบาดเจ็บที่หลังได้มากถึง 50% 

  1. ขยับเบาะไปด้านหน้าเล็กน้อย

      การเลื่อนเบาะไปข้างหน้าเล็กน้อยทำให้คุณอยู่ใกล้กับพวงมาลัยมากขึ้น ไม่ทำให้หลังค่อมและไม่ต้องเอื้อมไปเหยียบคันเร่งแรงๆ อีกด้วย และท่าที่ดีที่สุดก็คือการที่เข่าของคุณไม่สูงไปกว่าสะโพก 

  1. ปรับตำแหน่งพวงมาลัย

      นอกจากการปรับตำแหน่งเบาะนั่งให้ถูกต้องแล้ว คุณจะต้องปรับตำแหน่งของพวงมาลัยเพื่อป้องกันอาการปวดหลังด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งจากการวิจัยพบว่า ควรวางมือไว้ที่ตำแหน่ง 9 นาฬิกา และ 3 นาฬิกา วิธีนี้จะช่วยให้คุณวางศอกบนที่วางแขนได้  ช่วยให้บรรเทาอาการปวดบริเวณหลังส่วนบนได้

  1. ยืดกล้ามเนื้อบ่อยๆ

      การนั่งเป็นเวลานานๆ อาจทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการชาได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้กล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่อง ในขณะที่รอรถติดไฟแดง ควรยืดกล้ามเนื้อบ่อยๆ เพื่อผ่อนคลาย จะทำให้คุณขับรถได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น 

  1. เตรียมถุงน้ำแข็ง / ถุงร้อน ไว้ในรถ

      หากคุณมีแพลนที่จะเดินทางไกลควรเตรียมถุงน้ำแข็งหรือถุงร้อนไว้ในรถเสมอ หากมีอาการบาดเจ็บเฉียบพลันให้ใช้ถุงน้ำแข็ง แต่ถ้ามีอาการบาดเจ็บเรื้อรังให้ใช้ถุงร้อน แต่ก็ไม่ได้มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัวดังนั้นคุณสามารถเลือกใช้ทั้ง 2 ประเภทได้ตามใจชอบ โดยการนำเอาไว้บริเวณด้านหลังบนเบาะ ถุงเหล่านี้จะช่วยคลายกล้ามเนื้อและลดความครียดที่หลังได้ สำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ จะมีฟังก์ชั่นเบาะร้อน/เย็น ที่สั่งการง่ายๆ เพียงกดปุ่มเดียว ซึ่งสามารถใช้ได้เช่นเดียวกัน 

 

บทความ

เทคนิคการปรับกระจกมองข้าง

     การปรับมุมมองกระจกมองข้างที่ดี จะช่วยเพิ่มทัศนวิสัยด้านหลังให้ชัดเจนและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น แล้วการปรับกระจกมองข้างที่ถูกต้องควรทำอย่างไร?

     การปรับกระจกมองข้างที่ถูกต้อง ไม่เพียงแต่ช่วยให้มองรถด้านหลังได้อย่างชัดเจนขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการเกิดมุมอับสายตา (Blind Spot) ได้ ทำให้การเปลี่ยนเลนทำได้อย่างปลอดภัย สามารถมองเห็นรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ที่อยู่เยื้องไปทางด้านหลังได้ดีกว่า

     การปรับกระจกมองข้างทำได้ง่ายๆ ดังนี้

1.ปรับตำแหน่งเบาะนั่งให้เหมาะสมที่สุด และนั่งในท่านั่งที่สบาย ตำแหน่งศีรษะพิงกับพนักพิง

2.ปรับกระจกใน แนวนอน ให้เห็นตัวรถประมาณ 1 ใน 8 ของมุมมองทั้งหมด

3.ปรับกระจกใน แนวตั้ง ให้ขอบถนนสูงประมาณ 1 ใน 4 ของมุมมองทั้งหมด

     มุมที่ได้จากการปรับกระจกในลักษณะนี้ จะช่วยให้มองเห็นส่วนท้ายของตัวรถได้ ทำให้สามารถกะระยะห่างระหว่างตัวรถได้ง่ายขึ้น ขณะที่ความสูงยังพอเหมาะพอที่จะเห็นพื้นถนนไปพร้อมๆ กับรถที่มีความสูงมากเป็นพิเศษ เช่น รถบรรทุก, รถบัส ฯลฯ

error: Content is protected !!