วิธีลดความร้อนแบตเตอรี่ EV

  1. จอดในที่ร่ม

         วิธีที่ง่ายที่สุด คือ การจอดรถในที่ร่ม หลีกเลี่ยงบริเวณที่แสงแดดสาดส่องโดยตรง เพราะจะช่วยให้แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า EV ของคุณไม่ร้อนจนเกินไป เนื่องจากเมื่อจอดในที่ร่มจะช่วยลดการใช้พลังงานที่ทำให้รถเย็นลง

  1. จำกัดการชาร์จเร็ว

        รู้มั้ยว่า การชาร์จเร็วทำให้อุณหภูมิของแบตเตอรี่สูงขึ้นค่อนข้างมาก เพราะฉะนั้นในช่วงที่มีอากาศร้อน แนะนำให้หลีกเลี่ยงการชาร์จเร็วจะดีกว่า ถ้าเลี่ยงไม่ได้ แนะนำให้ชาร์จเท่าที่จำเป็น อย่าชาร์จจนเต็ม และไม่ควรชาร์จในช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของวัน

  1. ชาร์จเพียง 80%

        แนะนำให้ประคับประคองแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า EV ไว้ที่ 20% – 80% เนื่องจากเป็นระยะมาตรฐานรักษาคุณภาพแบตเตอรี่ที่ดี ยิ่งชาร์จนานแบตเตอรี่ยิ่งร้อน บวกกับวันนั้นอากาศร้อนจัด ยิ่งทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วขึ้น

        ประโยชน์ของรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่มีมากมาย และเป็นหนึ่งในตัวเลือกของคนรักษ์ธรรมชาติ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะค่าน้ำมันได้เป็นอย่างดี หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่อยากครอบครองสักคัน แต่ยังกังวลในเรื่องแบตเตอรี่ EV และความร้อนจัด

4 เทคนิคเลี้ยวโค้งอย่างไรให้ปลอดภัย

  1. จับพวงมาลัยที่ 3 และ 9 นาฬิกาเสมอ– การจับพวงมาลัยถือเป็นมาตรฐานของการขับรถอย่างปลอดภัย ควรจับพวงมาลัยด้วยมือขวาที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา และมือซ้ายที่ 9 นาฬิกา จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมพวงมาลัยได้ดีที่สุด หลีกเลี่ยงการขับรถเข้าโค้งด้วยมือเดียวอย่างเด็ดขาด เพราะจะลดประสิทธิภาพในการควบคุมพวงมาลัยเมื่อต้องหักหลบฉุกเฉินระหว่างเข้าโค้ง
  2. ลดความเร็วก่อนเข้าโค้ง– หากขับรถมาด้วยความเร็วสูง ควรลดความเร็วก่อนเข้าโค้งเสมอ จะช่วยลดโอกาสที่รถอาจหลุดโค้ง และช่วยให้ผู้ขับขี่มีสติในการควบคุมรถมากยิ่งขึ้น อีกทั้งการลดความเร็วก่อนเข้าโค้งยังช่วยให้น้ำหนักตัวรถถ่ายเทไปที่ล้อหน้า ช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนนได้อีกทางหนึ่งด้วย ทั้งนี้ ระหว่างเข้าโค้งควรหลีกเลี่ยงการเบรกโดยไม่จำเป็น เพราะรถข้างหลังอาจเบรกไม่ทันได้ ควรประคองความเร็วอย่างคงที่ ก่อนจะเพิ่มความเร็วอีกครั้งหลังจากพ้นโค้งไปแล้ว
  3. มองไกลสุดปลายโค้ง– การเข้าโค้งสายตาควรมองที่ปลายโค้งควบคู่กันไปด้วย จะช่วยให้ผู้ขับขี่ประเมินได้ว่าจำเป็นต้องเพิ่มองศาการหมุนพวงมาลัย หรือชะลอความเร็วลงหรือไม่
  4. ประคองรถให้อยู่ในเลน– การเข้าโค้งที่ถูกต้องควรประคองรถให้อยู่ในเลนของตนเองเสมอ ไม่ตัดเลนอื่นโดยไม่จำเป็นเด็ดขาด เพราะอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ แต่หากรู้สึกว่ารถเริ่มมีอาการหลุดออกจากเลน หรือรถมีอาการโคลงมากจนเกินไป แสดงว่าคุณอาจยังลดความเร็วไม่มากพอก่อนเข้าโค้ง

       นอกเหนือจากทักษะของผู้ขับขี่แล้ว สภาพยางก็มีส่วนช่วยในการเข้าโค้งอย่างปลอดภัยเช่นกัน หากเป็นยางที่มีสภาพเก่า เนื้อยางแข็ง จะส่งผลให้การยึดเกาะถนนลดน้อยลง อาจทำให้เกิดอาการหน้าดื้อหรือท้ายปัดได้ง่าย

ยางอะไหล่ควรเติมลมยางเท่าไหร่?

    หากเป็นยางสำหรับใช้เป็นยางอะไหล่โดยเฉพาะ จะแนะนำให้เติมลมยางไว้ที่ 60 PSI (เทียบกับยางปกติเติมลมยางที่ประมาณ 32-36 PSI) เนื่องจากลมยางจะค่อยๆ ลดลงทีละน้อย การเติมลมยางมากกว่าปกติจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะมีลมยางเพียงพอหากจำเป็นต้องใช้งาน

    อย่างไรก็ดี ยางส่วนใหญ่จะแนะนำให้เติมลมยางสูงสุดไม่เกิน 50 PSI ให้เติมลมยางสูงสุดไม่เกินตามที่ผู้ผลิตยางกำหนดไว้เพื่อความปลอดภัย

เมื่อใส่ยางอะไหล่ สามารถขับขี่ด้วยความเร็วเท่าไหร่?
     เนื่องจากยางอะไหล่ เป็นยางสำรองที่เอาไว้ใช้ยางฉุกเฉินเท่านั้น จึงไม่ควรขับด้วยความเร็วที่มากเกินไป ซึ่งความเร็วที่คู่มือของรถยนต์ส่วนใหญ่แนะนำอยู่ที่ประมาณ 80 กม./ชม. จึงต้องจำให้ขึ้นใจว่าไม่ควรขับเร็วเกินไป เพราะไม่ใช่ยางรถยนต์แบบสมบูรณ์ ควรขับอย่างช้าๆ และระมัดระวังให้มาก

จานเบรกขึ้นสนิมเป็นอันตรายหรือไม่?

จานเบรกขึ้นสนิมอันตรายหรือไม่?

     คำตอบคือ “ไม่เป็นอันตราย” เนื่องจากสนิมที่เกาะอยู่บนหน้าจานเบรกเกิดขึ้นความชื้นและละอองน้ำ ซึ่งพบได้บ่อยในช่วงฤดูฝน เนื่องจากน้ำฝนจะกระเซ็นจากพื้นไปเกาะอยู่บนจานเบรก ก่อให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันจนกลายเป็นคราบสนิมตามมา

    แม้ว่าหน้าจานเบรกจะมีคราบสนิมเกาะอยู่ทั่วทั้งจานเบรก แต่เจ้าของรถไม่จำเป็นต้องกังวลไป เนื่องจากคราบสนิมเหล่านี้จะหายไปเมื่อมีการเหยียบเบรกขณะลดความเร็ว จะทำให้หน้าจานเบรกกลับมาใสกิ๊งเหมือนเดิม อย่างไรก็ดี หากใช้ความเร็วในการขับขี่ไม่มากนัก คราบสนิมบนจานเบรกที่ล้อคู่หลังอาจยังคงหลงเหลืออยู่ เนื่องจากรถปกติจะมีแรงเบรกที่ล้อคู่หน้ามากกว่าล้อคู่หลังนั่นเอง

    ดังนั้น หากพบว่าจานเบรกรถของคุณมีคราบสนิมเกาะอยู่ก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป เพียงนำรถไปใช้งานตามปกติ คราบสนิมก็จะหายไปเอง

5 วิธี ขจัดกลิ่นอาหารติดรถ

  1. ใช้อากาศไล่กลิ่น

           หากรู้สึกมีกลิ่นอาหารที่ไม่พึงประสงค์ ให้เปิดหน้าต่างทั้ง 2 ด้าน เพื่อให้อากาศจากภายนอก เข้ามาไล่อากาศภายใน ทำระยะเวลาสั้น ๆ ก็ได้ผลดีทีเดียว

  1. ทำความสะอาดภายใน

           หากใช้อากาศไล่แล้วยังไม่ได้ผล แสดงว่าอาจมีเศษอาหารตกหล่นอยู่ วิธีที่ดีที่สุด คือ ทำความสะอาดภายใน ดูดฝุ่นตามซอกต่าง ๆ และเช็ดถูด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ

  1. ใช้เครื่องฟอกอากาศ

           เครื่องฟอกอากาศบางรุ่นมีเทคโนโลยีฆ่าเชื้อโรคต่าง ๆ ด้วย ถือเป็นไอเทมหนึ่งที่ควรมีติดรถ

  1. ใช้ถ่านดับกลิ่น หรือผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ

           ถ่านไม้, กากกาแฟ หรือใบชาแห้ง หากนำมาใส่ภาชนะแล้ววางไว้ในรถสัก 1 คืน จะช่วยดูดกลิ่นได้ดีทีเดียว

  1. นำรถจอดตากแดด

           การจอดรถท่ามกลางแสงแดดจัดจ้าน ช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ไม่น้อย หากรถยังมีกลิ่นอาหารที่หลงเหลือไว้ ให้นำรถยนต์ไปตากแดดพร้อมเปิดประตูรถไว้ให้ลมผ่าน ให้เกิดการถ่ายเทอากาศภายในรถ และขจัดกลิ่นเหม็นติดรถได้เป็นอย่างดี   อย่างไรก็ตามวิธีแก้ไขและป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ การรักษาความสะอาดภายในรถ และหมั่นบำรุงรักษาระบบแอร์ตามระยะให้สะอาดอยู่เสมอ

5 ทริค ขับรถปลอดภัย ในวันฝนตก

        อากาศเริ่มเปลี่ยนฝนก็ตกแดดก็ออกอากาศก็ร้อน สำหรับใครที่ต้องเดินทางไปไหนมาไหน วางทริปไปท่องเที่ยวเนื่องจากฝนตกบ่อยต้องระมัดระวังกันด้วยนะ อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ ปลอดภัยไว้ก่อน หากใครเป็นมือใหม่เรื่องขับขี่ ทางเรามีทริคแนะนำการขับยังไงให้ปลอดภัยห่างไกลอุบัติเหตุ

1.เช็คลมยางก่อนเดินทาง

       สำหรับมือใหม่ในการขับรถ ลมยาง นั้นเป็นสิ่งที่มักจะเผลอเรอมองข้ามการให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ แต่รู้ไหม ลมยางอ่อน หรือ ลมยางแข็ง หากขับขี่จนคล่องแล้วลมยางนั้นส่งผลต่อการขับขี่เป็นอย่างมากจนรู้สึกได้ ซึ่งรถแต่ละชนิดมีขนาดแตกต่างกัน ควรจะศึกษาดูว่ารถชนิดไหนนั้นเติมลมยางเท่าไร เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่

2.เช็คใบพัดปัดน้ำฝน

        ที่ปัดน้ำฝนนั้นเป็นอุปกรณ์ที่มีมากับตัวรถยนต์ที่จำเป็นอย่างมากหากพบเจอฝนตกหรือมรสุม แต่รู้ไหมที่ปัดน้ำฝนก็มีอายุการใช้งานเหมือนกันนะ ประเทศไทยอย่างที่รู้กันเป็นเมืองร้อน วัสดุสำคัญของใบพัดน้ำฝนที่ทำหน้าที่ปัดหน้าให้กระจกหน้ารถของเรานั้นใสทำมาจาก ยาง ซึ่งเมื่อยางนั้นตากแดดหรือโดนความร้อนมากๆจะเกิดการเสื่อมสภาพ มีเสียงดังขึ้นมาไม่สามารถที่จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราควรจะเช็คและเปลี่ยนใบพัดปัดน้ำฝนในช่วงต้นฤดูฝนหรือก่อนที่จะเข้าฤดูฝน เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3.เช็คไฟของรถ

       ไฟหน้ารถยนต์เป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับการขับรถในฤดูฝน การเปิดไฟในขณะที่ฝนตกหนักนั้นสามารถช่วยมองให้เห็นภาพข้างหน้าชัดเจนมากขึ้นนะ แต่อย่าเปิดไฟสูง ไฟเลี้ยวไฟเบรคก็เช่นกันควรจะคอยเช็คว่าสามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพหรือไม่ เนื่องจากหากฝนตกหนักไฟเหล่านี้เราสามารถใช้เป็นสัญญาณในการขับขี่หรือส่งสัญญาณต่าง ๆ ได้เพราะฉะนั้นการเช็คอุปกรณ์ไฟ สำหรับการขับขี่นั้นเป็นเรื่องสำคัญมากเพื่อเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุจากตนเองและผู้อื่น

4.ตรวจเช็คของเหลวในห้องเครื่อง

         ตรวจดูอุปกรณ์ต่าง ๆ ในห้องเครื่องยนต์ ว่ามีอะไรที่ต้องเติมก่อนรึเปล่าเช่น น้ำมันเบรค น้ำสำหรับแบตเตอรี่ น้ำมันเครื่องยนต์ เพื่อให้พร้อมก่อนออกเดินทางเนื่องจากสิ่งเหล่านี้มีความสำคัญกับการทำงานของเครื่องยนต์ ควรหมั่นเช็คอย่างสม่ำเสมอ

5.เช็คน้ำมันหรือไฟฟ้า วางแผนในการเดินทาง

         ลองดูว่าเชื้อเพลิงหรือพลังงานไฟฟ้าที่รถที่เราขับนั้นพร้อมสำหรับเดินทางไหม เตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทางหรือวางแผนก่อนเดินทางดีกว่า ว่าจะแวะพักที่จุดบริเวณไหนเติมพลังงานให้กับรถตรงไหนดี เพื่อลดความเสี่ยงและผิดพลาด และคนขับยังได้พักเหนื่อยจากการเดินทางด้วยนะ

สิ่งของที่ไม่ควรเก็บไว้ในรถ

      รถยนต์ถือว่าเป็นยานพาหนะที่อยู่คู่กับชีวิตประจำวัน และการใช้ง่ายบ่อยๆ ก็อาจจะเผลอเก็บสิ่งของ ตั้งวางเอาไว้ในรถยนต์โดยไม่รู้ตัว ของบางอย่างสามารถเก็บได้ แต่มีสิ่งของที่ไม่ควรเก็บใว้ในรถเหมือนกัน โดยเฉพาะรถยนต์ที่จอดตากแดด มันจะเกิดอันตรายภายหลังได้

  1. แบตเตอรี่สำรอง ไอเท็มที่คู่กับสมาร์ทโฟนในยุคปัจจุบัน และที่สำคัญไม่ควรทิ้งเอาไว้ในรถยนต์ เพราะเมื่อถูกความร้อนสูงจะทำให้เกิดปฏิกิริยาจนกลายเป็นระเบิดได้
  2. ยารักษาโรค การทิ้งยาเอาไว้ในรถยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์ที่จอดตากแดดเอาไว้ ความร้อนจะทำให้ยาเสื่อมสภาพได้
  3. ขวดน้ำดื่ม หากทิ้งเอาไว้ในรถที่จอดตากแดด และถ้าเกิดขวดน้ำสามารถทำมุมองศากับแดดที่ส่องเข้ามาในรถ จนกลายเป็นการตกกระทบรวมแสง ก็อาจเกิดไฟไหม้จากภายในรถได้เลย
  4. กระป๋องสเปรย์ ในกระเป๋ามีการอัดแน่นของสารเคมีและแก๊สจำนวนมาก หากได้รับความร้อนปริมาณสูง ก็จะเกิดการขยายตัว อาจทำให้เกิดประกายไฟและระเบิดได้
  5. น้ำแข็งแห้ง คงเป็นส่วนน้อยที่จะทิ้งน้ำแข็งแห้งไว้ในรถ แต่หากมีก็ควรระวัง เพราะน้ำแข็งแห้งระเบิดในห้องโดยสาร จะทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งจะทำให้ผู้อยู่ห้องโดยสารหมดสติได้ ดังนั้นควรเก็บในภาชนะที่มีการปิดอย่างมิดชิดเท่านั้นทั้งหมดก็เป็นเพียงสิ่งของที่ไม่ควรเก็บเอาไว้ในรถยนต์ ลองสำรวจดีให้ดี เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นได้

อันตราย เมื่อขับรถแล้วเจออาการเหินน้ำ

         หลังจากที่ฝนพึ่งตกลงมาใหม่ๆ จะเป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนน หรือที่เราเรียกว่า “อาการเหินน้ำ(Aquaplaning / Hydroplaning)” โดยสามารถสังเกตอาการของรถได้อย่างชัดเจนคือ


             1. เครื่องยนต์จะส่งเสียงดังขึ้นผิดปกติ


             2. พวงมาลัยจะเบาขึ้น


             3. ช่วงท้ายของรถจะปัดโดยไม่มีสาเหตุ


             4. ไม่สามารถเบรครถได้ในทันที

นั้นเป็นเพราะ ยางไม่สามารถยึดเกาะกับพื้นถนน ทำให้ไม่สามารถควบคุมทิศทางของรถได้

วิธีป้องกัน อาการเหินน้ำ


        1.เลือกใช้ยางที่ได้มาตรฐาน
ยางมีส่วนช่วยกำจัดน้ำปริมาณ 1 ถัง ออกจากพื้นถนนได้ทุกๆ 7 วินาที ทำให้ลดความเสี่ยงอาการเหินน้ำที่อาจจะเกิดขึ้นขณะขับขี่

       2.เติมปริมาณลมยางให้เหมาะสม
ตรวจเช็คลมยางให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมสม่ำเสมออย่างน้อย เดือนละ 1 คร้ง

กระจกรถเป็นฝ้า เรื่องควรรู้ช่วงฝนตก

       ช่วงฝนตกนอกจากจะขับรถยากเพราะถนนลื่นยางไม่ค่อยเกาะถนนแล้ว ยังมีปัญหากระจกรถยนต์เป็นฝ้าทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลงอีกด้วย ซึ่งคงต้องแก้ปัญหาด้วยการขับรถอย่างระมัดระวังและช้าลง

       ฝ้าที่กระจกรถยนต์ เกิดจากอุณหภูมิความชื้นภายในและภายนอกรถแตกต่างกัน หากฝั่งไหนมีอุณหภูมิสูงกว่าฝั่งนั้นก็จะเกิดฝ้า ซึ่งก็คือฝ้าที่กระจกรถด้านนอก เกิดจากอุณหภูมิภายนอกสูงกว่าภายใน ส่วนฝ้าที่กระจกด้านในก็จะเกิดจากอุณหภูมิภายในรถสูงกว่าภายนอกนั่นเอง

การป้องกัน/การแก้ไขกรณีฝ้ากระจกเกิดด้านนอก

  1. กรณีฝนตก หากฝ้ากระจกเกิดด้านนอก ให้เปิดที่ปัดน้ำฝนปัดไปปัดมาเพียงไม่กี่ครั้งฝ้าก็จะหาย หากฝ้ากระจกเกิดขึ้นที่กระจกประตูด้านข้างด้วย ให้ลดกระจกลงจนสุดแล้วกดขึ้นตามเดิม แค่นี้ฝ้าก็จะหายไป หากเป็นที่กระจกหลังให้กดปุ่มไล่ฝ้า ซึ่งเส้นลวดทองแดงจะเกิดความร้อนจนทำให้ฝ้าหายไปได้
  2. หากฝ้าเกิดที่ด้านในรถ จะมีหลายวิธีการด้วยกัน นั่นคือ
  • ใช้ผ้าสะอาดมาเช็ดกระจกจนใสมองเห็นได้ดีเหมือนเดิม
  •  เปิดกระจกรถทุกด้านให้อากาศด้านนอกได้เข้ามาหมุนเวียน เมื่ออุณหภูมิใกล้เคียงกัน ฝ้าก็จะหายไป
  • เพิ่มหรือลดอุณหภูมิที่แอร์ให้ใกล้เคียงกับภายนอก
  • ปรับทิศทางลมของช่องแอร์ไม่ให้หันไปทางกระจก
  • หมุนปรับสวิตช์ เปิดรับอากาศจากด้านนอกเข้ามาในห้องโดยสาร

         วิธีทั้งหมดนี้น่าจะทำให้ฝ้าที่กระจกรถหายไปได้ แต่หากทำแล้วฝ้าก็ยังเกิดขึ้นอีก หรือไม่ค่อยจะหายไปง่าย ๆ แนะนำให้แวะนำรถเข้าไปจอดปั๊ม จุดพักรถ หรือร้านอาหาร รอให้ฝนซาลงจึงค่อยไปต่อน่าจะดีที่สุด

ยางรถยนต์ไฟฟ้าต่างจากยางทั่วไปอย่างไร?

       แม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะมีรูปลักษณ์หน้าตาแทบไม่ต่างไปจากรถยนต์สันดาป แต่คุณสมบัติเฉพาะตัวของรถยนต์ไฟฟ้าจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนยางที่ออกแบบมาสำหรับรถ EV โดยเฉพาะ เพื่อรองรับประสิทธิภาพการทำงานของตัวรถได้อย่างเหมาะสมนั่นเอง

  1. รองรับน้ำหนักที่มากกว่า

        รถยนต์ไฟฟ้ามีน้ำหนักมากกว่ารถยนต์สันดาปอย่างเห็นได้ชัด อันเป็นผลมาจากการติดตั้งชุดแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ซึ่งอาจมีน้ำหนักตั้งแต่ 500 กก. ไปจนถึง 1 ตัน หรือมากกว่านั้น ยางที่ใช้จึงจำเป็นต้องออกแบบมาเพื่อรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัยทุกย่านความเร็ว

  1. รองรับแรงบิดที่สูงกว่า

        รถยนต์ไฟฟ้าสามารถสร้างแรงบิดสูงสุดจากชุดมอเตอร์ได้ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที (Instant Torque) ยางที่ใช้จึงจำเป็นต้องรองรับแรงบิดมหาศาลที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการทำงานของรถยนต์ไฟฟ้าจะทำให้ดอกยางสึกเร็วขึ้นสูงสุดถึง 20% จึงจำเป็นต้องเติมสารประกอบพิเศษลงไปในเนื้อยาง เพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้น

  1. ลดแรงต้านทานการหมุนได้ดีกว่า

 

       เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้ามีความอ่อนไหวต่อปัจจัยภายนอกหลายประการ ที่อาจส่งผลต่อระยะทางขับขี่ โดยเฉพาะหลักอากาศพลศาสตร์ และแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นจากพื้นถนน ยางรถยนต์ไฟฟ้าจึงออกแบบให้มีแรงต้านทานการหมุนต่ำ จะช่วยรักษาระยะทางขับขี่ให้ได้ตามที่ผู้ผลิตเคลมไว้

  1. เสียงรบกวนต่ำกว่า

 

        เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าไม่มีกระบวนการเผาไหม้เหมือนกับรถน้ำมันทั่วไป ทำให้รถไฟฟ้ามีการทำงานที่เงียบสนิท ผู้ขับขี่และผู้โดยสารจึงมีโอกาสได้ยินเสียงรบกวนที่เกิดขึ้นได้ง่ายกว่า ดังนั้นยางรถยนต์ไฟฟ้าจึงถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อลดเสียงรบกวนให้น้อยที่สุดนั่นเอง

error: Content is protected !!