

ในการชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้านั้นไม่จำเป็นต้องชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็ม 100% เพราะการชาร์จแบตรถยนต์ไฟฟ้า 100% บ่อยๆ ก็อาจส่งผลทำให้แบตเตอรี่เสื่อมได้เช่นกัน แบตเตอรี่ควรประจุไว้ที่ 20-80%
แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าไม่ควรปล่อยให้ต่ำกว่า 20% หรือปล่อยทิ้งไว้ให้แบตใกล้หมดแล้วถึงจะชาร์จ ซึ่งการทำแบบนี้จะส่งผลให้คุณภาพของแบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้น หรือทำให้มีอายุการใช้งานน้อยลง อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าระบบแบตเตอรี่นั้นควรจะอยู่ที่ระดับ 20% ไม่ควรต่ำกว่านี้
ความร้อนจากแดดนั้นก็สามารถสร้างความเสียหายให้กับแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าได้เช่นกัน เพราะการจอดในที่โล่งแจ้งจะทำให้รถนั้นได้รับความร้อนจากแดดโดยตรง เมื่อเจอความร้อนนานๆ อาจส่งผลให้เซลล์เสียหายและทำให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่สั้นลง และยังส่งผลให้ความจุมีการสูญเสียอย่างกระทันหันได้ด้วยเช่นกัน
การชาร์จแบบเร็วในที่นี้คือการชาร์จแบบ DC แน่นอนว่าการชาร์จแบบ DC มีข้อดีคือทำให้ชาร์จไฟได้รวดเร็ว แต่รู้ไหมว่าการชาร์จแบบเร็ว จะใช้กระแสไฟที่สูงหรือจะนวนมากๆ ในเวลาอันรวดเร็วซึ่งส่งผลต่อแบตเตอรี่เนื่องจากในระหว่างการชาร์จ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในเคมีภายในแบตเตอรี่ ทำให้แบตมีอุณหภูมิที่สูงหรือมีความร้อนสะสม สร้างความเครียดให้กับแบตเตอรี่รถ EV ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แบตมีอายุการใช้งานที่สั้นลงด้วยเช่นกัน
หากปฏิบัติตามข้อแนะนำข้างต้นได้เป็นประจำแล้วล่ะก็ รับรองว่าแบตเตอรี่ก็จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ไม่เสื่อมไวอย่างแน่นอน
วันนี้เรามาอัพเดทกฎหมาย เมาแล้วขับ ปี 2568 กันหน่อย ว่าบทลงโทษมีอะไรบ้าง เพื่อตั้งสติก่อนออกไปดื่ม และลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับตนเอง และผู้อื่น
ดื่มแค่ไหนถึงเรียกว่า เมาแล้วขับ
ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
– หากปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะถือว่าเป็นผู้เมาเเล้วขับ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกพักใช้ใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน
ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
– สำหรับผู้ขับขี่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี หรือมีใบอนุญาตขับรถชั่วคราว ห้ามมีปริมาณแอลกอฮอลในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ โดยจะถือว่าเป็นผู้เมาสุรา
ไม่ยอมเป่าวัดแอลกอฮอล์
การปฏิเสธการเป่าวัดแอลกอฮอล์ ถือว่าเป็นการยอมรับว่าเมาแล้วขับ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับตั้งแต่ 10,000-20,000 บาท ระงับใบขับขี่ไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ศาลสามารถสั่งพักใบขับขี่ และเพิกถอนใบอนุญาตขับรถได้
โทษเมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ-เสียชีวิต
เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ
จำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี ปรับ 20,000-100,000 บาท และถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับรถไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ
เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส
จำคุกตั้งแต่ 2-6 ปี ปรับ 40,000-120,000 บาท ระงับใบอนุญาตขับรถไม่น้อยกว่า 2 ปี
เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
จำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี ปรับตั้งแต่ 60,000-200,000 บาท และเพิกถอนใบอนุญาตขับรถทันที
ทางที่ดีเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง และเพื่อนร่วมทาง หากจำเป็นต้องไปดื่มจริงๆ ให้กลับแท็กซี่ หรือให้เพื่อน (ที่ไม่ดื่ม) ขับรถแทน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้มากขึ้น
ประกันรถยนต์ชั้น 1 ซ่อมห้าง
ประกันรถยนต์ชั้น 1 ซ่อมห้าง หรือ ซ่อมศูนย์ นั้น คือการซ่อมที่ศูนย์รถยนต์ของยี่ห้อที่รถมา ซึ่งปกติก็จะเป็นศูนย์ที่เราออกรถนั่นเอง ข้อดีของการซ่อมห้าง หากรถคุณเป็นรถรุ่นใหม่ๆ ซ่อมห้าง จะมีอะไหล่ใหม่รับรองให้คุณมากกว่า ขระที่ซ่อมอู่ อาจจะหาอะไหล่ไม่ได้ และต้องรอสั่ง โดยอะไหล่ที่ได้ จะเป็นของแท้แน่นอน อุ่นใจ เพราะสั่งตรงจากโรงงานรถยนต์ของยี่ห้อของคุณและหากรถคุณมีปัญหาเฉพาะภายในเครื่องยนต์ อู่ศูนย์จะเชื่อใจได้มาก เพราะจะมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะประจำอยู่ งานส่วนมากจะเนี้ยบ ได้มาตรฐาน
ข้อเสียของการซ่อมห้าง
ราคาที่จ่ายจะแพงกว่าซ่อมอู่ และอาจค่าเสียส่วนต่างเพิ่มด้วย พร้อมกับระยะเวลานานกว่ามาก ตั้งแต่การรอคิวที่นานมาก และการซ่อมก็ใช้เวลานานกว่าและบางจังหวัด บางสถานที่ ก็ไม่มีศูนย์บริการ จึงอาจมีปัญหาที่การเข้าถึงได้นั้นเอง…
ประกันรถยนต์ชั้น 1 ซ่อมอู่ คืออะไร
ประกันรถยนต์ชั้น 1 ซ่อมอู่ คือการนำรถไปเข้าอู่ซ่อมรถทั่วไปตามปกตินั่นเอง ซึ่งจะแยกเป็น 2 ประเภท คือ อู่ในเครือบริษัทประกันรถยนต์ กับ อู่นอกเครือบริษัทประกันรถยนต์
อู่ของเครือบริษัทประกันรถยนต์ – อู่ที่ผ่านการรองรับมตราฐานจากบริษัทประกันที่ทำไว้ ในกรณีที่นำรถไปเคลมประกันหรือไปซ่อมที่อู่ จะสามารถนำรถเข้าซ่อมได้เลย และเมื่อซ่อมเสร็จก็นำออกมาใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเงินหรือสำรองจ่ายออกไปก่อน
อู่ที่ไม่อยู่ในเครือบริษัทประกันรถยนต์ – อู่ที่ไม่ได้อยู่ในการรับรองของบริษัทประกันรถที่เราทำไว้ เช่น อู่ซ่อมรถใกล้บ้าน หรืออู่ที่เรารู้จัก ทำให้ต้องสำรองเงินจ่ายไปก่อน จากนั้นจึงค่อยนำใบเสร็จไปเบิกกับบริษัทประกันรถยนต์ในภายหลัง
ข้อดี
ค่าเบี้ยประกันที่จะต้องจ่ายนั้นถูกกว่าซ่อมห้าง มีตัวเลือกที่เข้าซ่อมมากกว่าสามารถเลือกซ่อมใกล้บ้านหรือที่เราสะดวกได้เลย ซึ่งนั่นก็หมายถึงราคาค่าใช้จ่ายในการซ่อมที่ต่ำกว่าและสามารถต่อรองได้ และใช้ระยะเวลาซ่อมไม่นานอีกด้วย
ข้อเสีย
โดยมากที่มักพบปัญหาคืออะไหล่ที่ใช้ในการซ่อม บางครั้งอาจไม่ใช่อะไหล่แท้ หรืออาจจะนำอะไหล่เก่ามาเปลี่ยนให้รถเราซึ่งเมื่อเกิดปัญหาหลังซ่อม บางอู่อาจจะไม่รับผิดชอบงานซ่อมบางครั้งอาจจะไม่ประณีตเรียบร้อยเท่าซ่อมห้างรวมถึง อาจจะโดนโกงเรื่องค่าอะไหล่ ค่าแรง ได้ง่าย
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณต้องเดินทางไกล การขับรถนานๆ มักเกิดอาการปวดหลังนั่นไม่ใช่เรื่องแปลก ยิ่งถ้าเป็นช่วงเวลาที่การจราจรติดขัดด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ต้องนั่งเกร็งอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าหากปวดบ่อยๆ ขับนิดๆ หน่อยก็เริ่มปวดแล้ว จนเริ่มมีความกังวลว่าอาการปวดหลังเริ่มจะเรื้อรังแล้วหรือไม่? ก่อนจะสายเกินไปมาดู 5 เคล็ดลับที่จะช่วยป้องกันอาการปวดหลัง ด้วยวิธีปรับท่าทางในการนั่งขับรถ ดังต่อไปนี้
หากคุณไม่ได้เป็นคนใช้รถคนเดียวในบ้าน และมีสมาชิกคนอื่นๆ ใช้รถคันเดียวกับคุณ ดังนั้นสิ่งแรกที่ควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนขับรถออกไป ก็คือการปรับเบาะที่นั่งให้ถูกต้อง เช่น มุมองศาพนักพิงควรอยู่ประมาณ 110-130 องศา เพื่อป้องกันไม่ให้หลังทรุดหรือเอื้อมไปข้างหน้ามากเกินไป ซึ่งการนั่งในตำแหน่งที่ถูกต้องจะช่วยป้องกันการบาดเจ็บที่หลังได้มากถึง 50%
การเลื่อนเบาะไปข้างหน้าเล็กน้อยทำให้คุณอยู่ใกล้กับพวงมาลัยมากขึ้น ไม่ทำให้หลังค่อมและไม่ต้องเอื้อมไปเหยียบคันเร่งแรงๆ อีกด้วย และท่าที่ดีที่สุดก็คือการที่เข่าของคุณไม่สูงไปกว่าสะโพก
นอกจากการปรับตำแหน่งเบาะนั่งให้ถูกต้องแล้ว คุณจะต้องปรับตำแหน่งของพวงมาลัยเพื่อป้องกันอาการปวดหลังด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งจากการวิจัยพบว่า ควรวางมือไว้ที่ตำแหน่ง 9 นาฬิกา และ 3 นาฬิกา วิธีนี้จะช่วยให้คุณวางศอกบนที่วางแขนได้ ช่วยให้บรรเทาอาการปวดบริเวณหลังส่วนบนได้
การนั่งเป็นเวลานานๆ อาจทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการชาได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้กล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่อง ในขณะที่รอรถติดไฟแดง ควรยืดกล้ามเนื้อบ่อยๆ เพื่อผ่อนคลาย จะทำให้คุณขับรถได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น
หากคุณมีแพลนที่จะเดินทางไกลควรเตรียมถุงน้ำแข็งหรือถุงร้อนไว้ในรถเสมอ หากมีอาการบาดเจ็บเฉียบพลันให้ใช้ถุงน้ำแข็ง แต่ถ้ามีอาการบาดเจ็บเรื้อรังให้ใช้ถุงร้อน แต่ก็ไม่ได้มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัวดังนั้นคุณสามารถเลือกใช้ทั้ง 2 ประเภทได้ตามใจชอบ โดยการนำเอาไว้บริเวณด้านหลังบนเบาะ ถุงเหล่านี้จะช่วยคลายกล้ามเนื้อและลดความครียดที่หลังได้ สำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ จะมีฟังก์ชั่นเบาะร้อน/เย็น ที่สั่งการง่ายๆ เพียงกดปุ่มเดียว ซึ่งสามารถใช้ได้เช่นเดียวกัน
การปรับมุมมองกระจกมองข้างที่ดี จะช่วยเพิ่มทัศนวิสัยด้านหลังให้ชัดเจนและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น แล้วการปรับกระจกมองข้างที่ถูกต้องควรทำอย่างไร?
การปรับกระจกมองข้างที่ถูกต้อง ไม่เพียงแต่ช่วยให้มองรถด้านหลังได้อย่างชัดเจนขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการเกิดมุมอับสายตา (Blind Spot) ได้ ทำให้การเปลี่ยนเลนทำได้อย่างปลอดภัย สามารถมองเห็นรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ที่อยู่เยื้องไปทางด้านหลังได้ดีกว่า
การปรับกระจกมองข้างทำได้ง่ายๆ ดังนี้
1.ปรับตำแหน่งเบาะนั่งให้เหมาะสมที่สุด และนั่งในท่านั่งที่สบาย ตำแหน่งศีรษะพิงกับพนักพิง
2.ปรับกระจกใน แนวนอน ให้เห็นตัวรถประมาณ 1 ใน 8 ของมุมมองทั้งหมด
3.ปรับกระจกใน แนวตั้ง ให้ขอบถนนสูงประมาณ 1 ใน 4 ของมุมมองทั้งหมด
มุมที่ได้จากการปรับกระจกในลักษณะนี้ จะช่วยให้มองเห็นส่วนท้ายของตัวรถได้ ทำให้สามารถกะระยะห่างระหว่างตัวรถได้ง่ายขึ้น ขณะที่ความสูงยังพอเหมาะพอที่จะเห็นพื้นถนนไปพร้อมๆ กับรถที่มีความสูงมากเป็นพิเศษ เช่น รถบรรทุก, รถบัส ฯลฯ
ในความเป็นจริงแล้ว “ประมาทร่วม” นั้นเป็นคำที่นำมาเรียกใช้กันเองในกรณีที่ต่างฝ่ายต่างประมาท ซึ่งในทางกฎหมาย การประมาทร่วม จะหมายถึง “ต่างฝ่ายต่างประมาทไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน” โดยสามารถตีความได้หลายนัยยะ ต้องดูว่าใครประมาทมากหรือน้อยกว่ากัน หรือถ้าให้พูดอย่างง่ายก็คือสามารถตีความได้ว่าผิดกันทั้งคู่ แต่ในแง่การรับผิดชอบก็จะขึ้นอยู่กับความเสียหายที่เกิดขึ้นอีกที
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ เช่น นาย ก. ขับรถฝ่าไฟแดงมา แล้วชนเข้ากับ นาย ค. ที่ขับรถด้วยความเร็วเกินกฎหมายกำหนด ซึ่งในกรณีแบบนี้เจ้าหน้าที่จะตัดสินให้ว่าเป็นคดีรถชน ประมาทร่วม ต้องชดเชยค่าเสียหายให้กันตามความเหมาะสม
ประมาทร่วมแบบนี้ ใครเป็นผู้รับผิดชอบ?
กรณีหากเกิดการชนจากการประมาทร่วมแบบนี้ มักจะจบกันที่แยกย้ายต่างฝ่ายต่างไปซ่อมรถของตัวเอง ซึ่งถ้าหากใครทำประกันรถยนต์เอาไว้ถือว่าเป็นโชคดี เพราะไม่ต้องควักเงินมาจ่ายค่าซ่อมรถเอง
ระบบ Airbag หรือถุงลมนิรภัยในรถยนต์เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่มีความสำคัญต่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสารในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ การพัฒนาและติดตั้งระบบนี้มีผลอย่างมากในการลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บรุนแรงถึงชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการชนอย่างรุนแรง ระบบ Airbag ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันที่ช่วยลดแรงกระแทกจากการชนของร่างกายกับส่วนต่างๆ ภายในห้องโดยสาร
การทำงานของ Airbag
เมื่อเกิดการชนอย่างรุนแรง ระบบเซ็นเซอร์ในรถยนต์จะตรวจจับแรงกระแทกและส่งสัญญาณไปยังชุดควบคุม เพื่อสั่งการให้ถุงลมภายในรถยนต์ถูกปล่อยออกมาภายในเสี้ยววินาที (ประมาณ 0.02 วินาที) เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารชนกับส่วนที่แข็งของรถ เช่น พวงมาลัย แผงหน้าปัด หรือกระจกหน้ารถ ถุงลมที่พองตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจะช่วยลดแรงกระแทกและการบาดเจ็บจากการชน โดยเฉพาะบริเวณศีรษะและหน้าอก
ประเภทของ Airbag
รถความร้อนขึ้น หรือที่เรียกกันว่า เครื่องยนต์ Overheat มักเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติจากส่วนใดส่วนหนึ่งในเครื่องยนต์ จนทำให้ภายในห้องเครื่องไม่สามารถระบายความร้อนออกมาเองได้ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัญหาของรถยนต์ที่ผู้ขับขี่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด เพราะถ้าหากปล่อยให้เกิดปัญหาขึ้นอย่างบ่อยครั้ง อาจส่งผลกระทบต่อเครื่องยนต์จนเสียหายหนัก หรืออาจทำให้รถยนต์ดับหรือขับไปต่อไม่ได้เลย
รถความร้อนขึ้นต้องทำไง
เมื่อผู้ขับขี่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์รถความร้อนขึ้นหรือเครื่องยนต์ Overheat สิ่งแรกที่ผู้ขับขี่ต้องทำเลยคือ การตั้งสติ เมื่อเรามีสติแล้วสิ่งต้องปฏิบัติต่อไปก็จะทำได้โดยง่าย ซึ่งจะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
หาพื้นที่ปลอดภัย เพื่อจอดพักรถ
เมื่อหน้าปัดรถยนต์เริ่มมีสัญญาณไฟเตือนเกี่ยวกับความร้อนรถยนต์สูงขึ้น ผู้ขับขี่ต้องรีบทำการมองหาพื้นที่ที่ปลอดภัย พร้อมกับการปิดแอร์รถ เพื่อที่จะไม่ให้รถยนต์ต้องทำงานหนักขึ้น หลังจากได้ที่จอดรถที่ปลอดภัย ให้ทำการจอดรถพร้อมกับการดับเครื่องยนต์
เปิดฝากระโปรงรถยนต์
หลังจากจอรถเสร็จ ให้เปิดฝากระโปรงรถ เพื่อที่จะระบายความร้อนออกจากห้องเครื่องยนต์ แต่ต้องระวังตอนเปิดฝากกระโปรงรถ เพราะอาจมีไอความร้อนพุ่งขึ้นมา และสิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาด คือ การใช้น้ำราดที่ตัวเครื่องยนต์ เพราะอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้
ทิ้งให้เครื่องเย็น แล้วค่อยเปิดฝาหมอน้ำ
หลังจากที่ผู้ขับขี่เปิดฝากระโปรงรถไปสักพัก จนเครื่องยนต์เริ่มเย็นลงแล้ว ให้ผู้ขับขี่ลองเปิดฝาหม้อน้ำ เพื่อเช็คระดับน้ำว่าอยุ่ในจุดที่เหมาะสมไหม ที่สำคัญห้ามเปิดฝาหม้อน้ำในขณะเครื่องร้อน เพราะถ้าเปิดตอนที่น้ำร้อนๆ อาจมีไอความน้ำพุ่งขึ้นมาลวกเราได้
เติมน้ำลงหม้อน้ำ เมื่อเต็มแล้วทิ้งไว้สักพัก
หลังจากเปิดฝาหม้อน้ำพร้อมเช็คระดับน้ำแล้ว ให้ผู้ขับขี่เติมน้ำเปล่าหรือน้ำหล่อเย็นช้าๆ จนเต็ม หลังจากนั้นทิ้งรถไว้สัก 5-10 นาที แล้วค่อยสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่ และจากนั้นให้ออกตัวพร้อมขับรถช้าๆ และรีบนำรถไปเข้าศูนย์บริการหรืออู่ใกล้เคียง เพื่อตรวจสอบอีกครั้งให้แน่ใจนะครับ
DHT หรือ Dedicated Hybrid Transmission เป็นระบบเกียร์ที่พัฒนาและออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการใช้งานร่วมกับเครื่องยนต์แบบไฮบริด ระบบนี้มีจุดเด่นที่สามารถสลับการทำงานระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างราบรื่น ซึ่งช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างนุ่มนวลและมีประสิทธิภาพ ระบบเกียร์ DHT นี้มีทั้งเกียร์แบบ single-speed และ multi-speed ซึ่งถูกปรับให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าในรถยนต์ไฮบริด เพื่อให้สามารถถ่ายโอนพลังงานได้ดีที่สุด
ในขณะที่ระบบเกียร์ทั่วไป เช่น เกียร์อัตโนมัติ CVT (Continuously Variable Transmission) หรือเกียร์อัตโนมัติแบบ AT (Automatic Transmission) ต้องใช้กลไกที่ซับซ้อนในการสลับเปลี่ยนเกียร์ ระบบ DHT ถูกออกแบบให้สามารถเชื่อมโยงการทำงานระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าได้โดยตรง ส่งผลให้การส่งกำลังเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานสูงกว่า
ทำไมระบบเกียร์ DHT ถึงมีประสิทธิภาพ?
เหตุผลที่ระบบเกียร์ DHT มีประสิทธิภาพสูงคือ การใช้ระบบมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วยเสริมการขับเคลื่อน ในช่วงที่เครื่องยนต์ต้องการกำลังสูง เช่น ช่วงออกตัวหรือช่วงที่ต้องการอัตราเร่ง ระบบ DHT จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าช่วยในการขับเคลื่อน ทำให้ลดการใช้น้ำมันและเพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่ นอกจากนี้ ระบบ DHT ยังถูกออกแบบให้มีอัตราทดที่เหมาะสมกับการใช้งานแบบไฮบริด ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์เป็นไปอย่างราบรื่นและให้สมรรถนะที่ดีในทุกความเร็ว
ผู้ใช้รถยนต์ EV ที่ต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า หรือ EV Charger ที่บ้าน สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรก ๆ คือ การเลือกใช้มิเตอร์ที่สามารถรองรับการติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าได้ และมีความเหมาะสมกับตัวรถยนต์ที่ใช้ เพราะรถแต่ละรุ่นสามารถรองรับไฟได้ไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น ก่อนติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า จะต้องพิจารณาทั้งตัวสเปกรถยนต์ มิเตอร์ไฟฟ้าที่บ้าน รวมถึงการเลือกจุดติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าภายในบ้าน เพื่อให้การใช้งานมีประสิทธิภาพ และไม่ส่งผลเสียต่อวงจรไฟฟ้าในครัวเรือน
กำลังไฟของ Onboard Charger
หากยึดตามรถยนต์ไฟฟ้าที่จำหน่ายในบ้านเรา สามารถแบ่งตามตัว Onboard Charger ของรถยนต์ EV ที่สามารถรองรับกำลังไฟได้ทั้งหมด 3 รูปแบบหลัก ๆ คือ
ติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า ใช้มิเตอร์แบบไหน
หลังจากที่เรารู้แล้วว่ารถยนต์ที่ใช้รองรับกำลังไฟได้เท่าไหร่บ้าง ก็จะทำให้รู้ว่าควรจะติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าแบบไหน เพื่อให้เหมาะสมต่อการใช้งานมากที่สุด ซึ่งถ้าหากรถยนต์รองรับกำลังไฟอยู่ที่ 6kW ก็เท่ากับว่าใช้มิเตอร์ไฟ 1-Phase 30(100) ก็ถือว่าเพียงพอ เพราะต่อให้ติดตั้ง Wall Charger ที่มากกว่านี้ แต่สุดท้ายรถยนต์ EV ก็สามารถรองรับกำลังไฟได้ตามสเปกเท่านั้น แต่หากเป็นรถไฟฟ้าที่สามารถรองรับกระแสได้ถึง 11kW นั่นหมายความว่า ผู้ใช้รถที่ต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า จะต้องเปลี่ยนไปใช้มิเตอร์ไฟ 3-Phase 30(100) แทน เพื่อให้การชาร์จไฟมีประสิทธิภาพตามสเปกของรถไฟฟ้านั่นเอง