ยางอะไหล่ควรเติมลมยางเท่าไหร่?

    หากเป็นยางสำหรับใช้เป็นยางอะไหล่โดยเฉพาะ จะแนะนำให้เติมลมยางไว้ที่ 60 PSI (เทียบกับยางปกติเติมลมยางที่ประมาณ 32-36 PSI) เนื่องจากลมยางจะค่อยๆ ลดลงทีละน้อย การเติมลมยางมากกว่าปกติจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะมีลมยางเพียงพอหากจำเป็นต้องใช้งาน

    อย่างไรก็ดี ยางส่วนใหญ่จะแนะนำให้เติมลมยางสูงสุดไม่เกิน 50 PSI ให้เติมลมยางสูงสุดไม่เกินตามที่ผู้ผลิตยางกำหนดไว้เพื่อความปลอดภัย

เมื่อใส่ยางอะไหล่ สามารถขับขี่ด้วยความเร็วเท่าไหร่?
     เนื่องจากยางอะไหล่ เป็นยางสำรองที่เอาไว้ใช้ยางฉุกเฉินเท่านั้น จึงไม่ควรขับด้วยความเร็วที่มากเกินไป ซึ่งความเร็วที่คู่มือของรถยนต์ส่วนใหญ่แนะนำอยู่ที่ประมาณ 80 กม./ชม. จึงต้องจำให้ขึ้นใจว่าไม่ควรขับเร็วเกินไป เพราะไม่ใช่ยางรถยนต์แบบสมบูรณ์ ควรขับอย่างช้าๆ และระมัดระวังให้มาก

จานเบรกขึ้นสนิมเป็นอันตรายหรือไม่?

จานเบรกขึ้นสนิมอันตรายหรือไม่?

     คำตอบคือ “ไม่เป็นอันตราย” เนื่องจากสนิมที่เกาะอยู่บนหน้าจานเบรกเกิดขึ้นความชื้นและละอองน้ำ ซึ่งพบได้บ่อยในช่วงฤดูฝน เนื่องจากน้ำฝนจะกระเซ็นจากพื้นไปเกาะอยู่บนจานเบรก ก่อให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันจนกลายเป็นคราบสนิมตามมา

    แม้ว่าหน้าจานเบรกจะมีคราบสนิมเกาะอยู่ทั่วทั้งจานเบรก แต่เจ้าของรถไม่จำเป็นต้องกังวลไป เนื่องจากคราบสนิมเหล่านี้จะหายไปเมื่อมีการเหยียบเบรกขณะลดความเร็ว จะทำให้หน้าจานเบรกกลับมาใสกิ๊งเหมือนเดิม อย่างไรก็ดี หากใช้ความเร็วในการขับขี่ไม่มากนัก คราบสนิมบนจานเบรกที่ล้อคู่หลังอาจยังคงหลงเหลืออยู่ เนื่องจากรถปกติจะมีแรงเบรกที่ล้อคู่หน้ามากกว่าล้อคู่หลังนั่นเอง

    ดังนั้น หากพบว่าจานเบรกรถของคุณมีคราบสนิมเกาะอยู่ก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป เพียงนำรถไปใช้งานตามปกติ คราบสนิมก็จะหายไปเอง

5 วิธี ขจัดกลิ่นอาหารติดรถ

  1. ใช้อากาศไล่กลิ่น

           หากรู้สึกมีกลิ่นอาหารที่ไม่พึงประสงค์ ให้เปิดหน้าต่างทั้ง 2 ด้าน เพื่อให้อากาศจากภายนอก เข้ามาไล่อากาศภายใน ทำระยะเวลาสั้น ๆ ก็ได้ผลดีทีเดียว

  1. ทำความสะอาดภายใน

           หากใช้อากาศไล่แล้วยังไม่ได้ผล แสดงว่าอาจมีเศษอาหารตกหล่นอยู่ วิธีที่ดีที่สุด คือ ทำความสะอาดภายใน ดูดฝุ่นตามซอกต่าง ๆ และเช็ดถูด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ

  1. ใช้เครื่องฟอกอากาศ

           เครื่องฟอกอากาศบางรุ่นมีเทคโนโลยีฆ่าเชื้อโรคต่าง ๆ ด้วย ถือเป็นไอเทมหนึ่งที่ควรมีติดรถ

  1. ใช้ถ่านดับกลิ่น หรือผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ

           ถ่านไม้, กากกาแฟ หรือใบชาแห้ง หากนำมาใส่ภาชนะแล้ววางไว้ในรถสัก 1 คืน จะช่วยดูดกลิ่นได้ดีทีเดียว

  1. นำรถจอดตากแดด

           การจอดรถท่ามกลางแสงแดดจัดจ้าน ช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ไม่น้อย หากรถยังมีกลิ่นอาหารที่หลงเหลือไว้ ให้นำรถยนต์ไปตากแดดพร้อมเปิดประตูรถไว้ให้ลมผ่าน ให้เกิดการถ่ายเทอากาศภายในรถ และขจัดกลิ่นเหม็นติดรถได้เป็นอย่างดี   อย่างไรก็ตามวิธีแก้ไขและป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ การรักษาความสะอาดภายในรถ และหมั่นบำรุงรักษาระบบแอร์ตามระยะให้สะอาดอยู่เสมอ

5 ทริค ขับรถปลอดภัย ในวันฝนตก

        อากาศเริ่มเปลี่ยนฝนก็ตกแดดก็ออกอากาศก็ร้อน สำหรับใครที่ต้องเดินทางไปไหนมาไหน วางทริปไปท่องเที่ยวเนื่องจากฝนตกบ่อยต้องระมัดระวังกันด้วยนะ อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ ปลอดภัยไว้ก่อน หากใครเป็นมือใหม่เรื่องขับขี่ ทางเรามีทริคแนะนำการขับยังไงให้ปลอดภัยห่างไกลอุบัติเหตุ

1.เช็คลมยางก่อนเดินทาง

       สำหรับมือใหม่ในการขับรถ ลมยาง นั้นเป็นสิ่งที่มักจะเผลอเรอมองข้ามการให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ แต่รู้ไหม ลมยางอ่อน หรือ ลมยางแข็ง หากขับขี่จนคล่องแล้วลมยางนั้นส่งผลต่อการขับขี่เป็นอย่างมากจนรู้สึกได้ ซึ่งรถแต่ละชนิดมีขนาดแตกต่างกัน ควรจะศึกษาดูว่ารถชนิดไหนนั้นเติมลมยางเท่าไร เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่

2.เช็คใบพัดปัดน้ำฝน

        ที่ปัดน้ำฝนนั้นเป็นอุปกรณ์ที่มีมากับตัวรถยนต์ที่จำเป็นอย่างมากหากพบเจอฝนตกหรือมรสุม แต่รู้ไหมที่ปัดน้ำฝนก็มีอายุการใช้งานเหมือนกันนะ ประเทศไทยอย่างที่รู้กันเป็นเมืองร้อน วัสดุสำคัญของใบพัดน้ำฝนที่ทำหน้าที่ปัดหน้าให้กระจกหน้ารถของเรานั้นใสทำมาจาก ยาง ซึ่งเมื่อยางนั้นตากแดดหรือโดนความร้อนมากๆจะเกิดการเสื่อมสภาพ มีเสียงดังขึ้นมาไม่สามารถที่จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราควรจะเช็คและเปลี่ยนใบพัดปัดน้ำฝนในช่วงต้นฤดูฝนหรือก่อนที่จะเข้าฤดูฝน เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3.เช็คไฟของรถ

       ไฟหน้ารถยนต์เป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับการขับรถในฤดูฝน การเปิดไฟในขณะที่ฝนตกหนักนั้นสามารถช่วยมองให้เห็นภาพข้างหน้าชัดเจนมากขึ้นนะ แต่อย่าเปิดไฟสูง ไฟเลี้ยวไฟเบรคก็เช่นกันควรจะคอยเช็คว่าสามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพหรือไม่ เนื่องจากหากฝนตกหนักไฟเหล่านี้เราสามารถใช้เป็นสัญญาณในการขับขี่หรือส่งสัญญาณต่าง ๆ ได้เพราะฉะนั้นการเช็คอุปกรณ์ไฟ สำหรับการขับขี่นั้นเป็นเรื่องสำคัญมากเพื่อเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุจากตนเองและผู้อื่น

4.ตรวจเช็คของเหลวในห้องเครื่อง

         ตรวจดูอุปกรณ์ต่าง ๆ ในห้องเครื่องยนต์ ว่ามีอะไรที่ต้องเติมก่อนรึเปล่าเช่น น้ำมันเบรค น้ำสำหรับแบตเตอรี่ น้ำมันเครื่องยนต์ เพื่อให้พร้อมก่อนออกเดินทางเนื่องจากสิ่งเหล่านี้มีความสำคัญกับการทำงานของเครื่องยนต์ ควรหมั่นเช็คอย่างสม่ำเสมอ

5.เช็คน้ำมันหรือไฟฟ้า วางแผนในการเดินทาง

         ลองดูว่าเชื้อเพลิงหรือพลังงานไฟฟ้าที่รถที่เราขับนั้นพร้อมสำหรับเดินทางไหม เตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทางหรือวางแผนก่อนเดินทางดีกว่า ว่าจะแวะพักที่จุดบริเวณไหนเติมพลังงานให้กับรถตรงไหนดี เพื่อลดความเสี่ยงและผิดพลาด และคนขับยังได้พักเหนื่อยจากการเดินทางด้วยนะ

สิ่งของที่ไม่ควรเก็บไว้ในรถ

      รถยนต์ถือว่าเป็นยานพาหนะที่อยู่คู่กับชีวิตประจำวัน และการใช้ง่ายบ่อยๆ ก็อาจจะเผลอเก็บสิ่งของ ตั้งวางเอาไว้ในรถยนต์โดยไม่รู้ตัว ของบางอย่างสามารถเก็บได้ แต่มีสิ่งของที่ไม่ควรเก็บใว้ในรถเหมือนกัน โดยเฉพาะรถยนต์ที่จอดตากแดด มันจะเกิดอันตรายภายหลังได้

  1. แบตเตอรี่สำรอง ไอเท็มที่คู่กับสมาร์ทโฟนในยุคปัจจุบัน และที่สำคัญไม่ควรทิ้งเอาไว้ในรถยนต์ เพราะเมื่อถูกความร้อนสูงจะทำให้เกิดปฏิกิริยาจนกลายเป็นระเบิดได้
  2. ยารักษาโรค การทิ้งยาเอาไว้ในรถยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์ที่จอดตากแดดเอาไว้ ความร้อนจะทำให้ยาเสื่อมสภาพได้
  3. ขวดน้ำดื่ม หากทิ้งเอาไว้ในรถที่จอดตากแดด และถ้าเกิดขวดน้ำสามารถทำมุมองศากับแดดที่ส่องเข้ามาในรถ จนกลายเป็นการตกกระทบรวมแสง ก็อาจเกิดไฟไหม้จากภายในรถได้เลย
  4. กระป๋องสเปรย์ ในกระเป๋ามีการอัดแน่นของสารเคมีและแก๊สจำนวนมาก หากได้รับความร้อนปริมาณสูง ก็จะเกิดการขยายตัว อาจทำให้เกิดประกายไฟและระเบิดได้
  5. น้ำแข็งแห้ง คงเป็นส่วนน้อยที่จะทิ้งน้ำแข็งแห้งไว้ในรถ แต่หากมีก็ควรระวัง เพราะน้ำแข็งแห้งระเบิดในห้องโดยสาร จะทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งจะทำให้ผู้อยู่ห้องโดยสารหมดสติได้ ดังนั้นควรเก็บในภาชนะที่มีการปิดอย่างมิดชิดเท่านั้นทั้งหมดก็เป็นเพียงสิ่งของที่ไม่ควรเก็บเอาไว้ในรถยนต์ ลองสำรวจดีให้ดี เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นได้

อันตราย เมื่อขับรถแล้วเจออาการเหินน้ำ

         หลังจากที่ฝนพึ่งตกลงมาใหม่ๆ จะเป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนน หรือที่เราเรียกว่า “อาการเหินน้ำ(Aquaplaning / Hydroplaning)” โดยสามารถสังเกตอาการของรถได้อย่างชัดเจนคือ


             1. เครื่องยนต์จะส่งเสียงดังขึ้นผิดปกติ


             2. พวงมาลัยจะเบาขึ้น


             3. ช่วงท้ายของรถจะปัดโดยไม่มีสาเหตุ


             4. ไม่สามารถเบรครถได้ในทันที

นั้นเป็นเพราะ ยางไม่สามารถยึดเกาะกับพื้นถนน ทำให้ไม่สามารถควบคุมทิศทางของรถได้

วิธีป้องกัน อาการเหินน้ำ


        1.เลือกใช้ยางที่ได้มาตรฐาน
ยางมีส่วนช่วยกำจัดน้ำปริมาณ 1 ถัง ออกจากพื้นถนนได้ทุกๆ 7 วินาที ทำให้ลดความเสี่ยงอาการเหินน้ำที่อาจจะเกิดขึ้นขณะขับขี่

       2.เติมปริมาณลมยางให้เหมาะสม
ตรวจเช็คลมยางให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมสม่ำเสมออย่างน้อย เดือนละ 1 คร้ง

กระจกรถเป็นฝ้า เรื่องควรรู้ช่วงฝนตก

       ช่วงฝนตกนอกจากจะขับรถยากเพราะถนนลื่นยางไม่ค่อยเกาะถนนแล้ว ยังมีปัญหากระจกรถยนต์เป็นฝ้าทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลงอีกด้วย ซึ่งคงต้องแก้ปัญหาด้วยการขับรถอย่างระมัดระวังและช้าลง

       ฝ้าที่กระจกรถยนต์ เกิดจากอุณหภูมิความชื้นภายในและภายนอกรถแตกต่างกัน หากฝั่งไหนมีอุณหภูมิสูงกว่าฝั่งนั้นก็จะเกิดฝ้า ซึ่งก็คือฝ้าที่กระจกรถด้านนอก เกิดจากอุณหภูมิภายนอกสูงกว่าภายใน ส่วนฝ้าที่กระจกด้านในก็จะเกิดจากอุณหภูมิภายในรถสูงกว่าภายนอกนั่นเอง

การป้องกัน/การแก้ไขกรณีฝ้ากระจกเกิดด้านนอก

  1. กรณีฝนตก หากฝ้ากระจกเกิดด้านนอก ให้เปิดที่ปัดน้ำฝนปัดไปปัดมาเพียงไม่กี่ครั้งฝ้าก็จะหาย หากฝ้ากระจกเกิดขึ้นที่กระจกประตูด้านข้างด้วย ให้ลดกระจกลงจนสุดแล้วกดขึ้นตามเดิม แค่นี้ฝ้าก็จะหายไป หากเป็นที่กระจกหลังให้กดปุ่มไล่ฝ้า ซึ่งเส้นลวดทองแดงจะเกิดความร้อนจนทำให้ฝ้าหายไปได้
  2. หากฝ้าเกิดที่ด้านในรถ จะมีหลายวิธีการด้วยกัน นั่นคือ
  • ใช้ผ้าสะอาดมาเช็ดกระจกจนใสมองเห็นได้ดีเหมือนเดิม
  •  เปิดกระจกรถทุกด้านให้อากาศด้านนอกได้เข้ามาหมุนเวียน เมื่ออุณหภูมิใกล้เคียงกัน ฝ้าก็จะหายไป
  • เพิ่มหรือลดอุณหภูมิที่แอร์ให้ใกล้เคียงกับภายนอก
  • ปรับทิศทางลมของช่องแอร์ไม่ให้หันไปทางกระจก
  • หมุนปรับสวิตช์ เปิดรับอากาศจากด้านนอกเข้ามาในห้องโดยสาร

         วิธีทั้งหมดนี้น่าจะทำให้ฝ้าที่กระจกรถหายไปได้ แต่หากทำแล้วฝ้าก็ยังเกิดขึ้นอีก หรือไม่ค่อยจะหายไปง่าย ๆ แนะนำให้แวะนำรถเข้าไปจอดปั๊ม จุดพักรถ หรือร้านอาหาร รอให้ฝนซาลงจึงค่อยไปต่อน่าจะดีที่สุด

ยางรถยนต์ไฟฟ้าต่างจากยางทั่วไปอย่างไร?

       แม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะมีรูปลักษณ์หน้าตาแทบไม่ต่างไปจากรถยนต์สันดาป แต่คุณสมบัติเฉพาะตัวของรถยนต์ไฟฟ้าจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนยางที่ออกแบบมาสำหรับรถ EV โดยเฉพาะ เพื่อรองรับประสิทธิภาพการทำงานของตัวรถได้อย่างเหมาะสมนั่นเอง

  1. รองรับน้ำหนักที่มากกว่า

        รถยนต์ไฟฟ้ามีน้ำหนักมากกว่ารถยนต์สันดาปอย่างเห็นได้ชัด อันเป็นผลมาจากการติดตั้งชุดแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ซึ่งอาจมีน้ำหนักตั้งแต่ 500 กก. ไปจนถึง 1 ตัน หรือมากกว่านั้น ยางที่ใช้จึงจำเป็นต้องออกแบบมาเพื่อรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัยทุกย่านความเร็ว

  1. รองรับแรงบิดที่สูงกว่า

        รถยนต์ไฟฟ้าสามารถสร้างแรงบิดสูงสุดจากชุดมอเตอร์ได้ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที (Instant Torque) ยางที่ใช้จึงจำเป็นต้องรองรับแรงบิดมหาศาลที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการทำงานของรถยนต์ไฟฟ้าจะทำให้ดอกยางสึกเร็วขึ้นสูงสุดถึง 20% จึงจำเป็นต้องเติมสารประกอบพิเศษลงไปในเนื้อยาง เพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้น

  1. ลดแรงต้านทานการหมุนได้ดีกว่า

 

       เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้ามีความอ่อนไหวต่อปัจจัยภายนอกหลายประการ ที่อาจส่งผลต่อระยะทางขับขี่ โดยเฉพาะหลักอากาศพลศาสตร์ และแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นจากพื้นถนน ยางรถยนต์ไฟฟ้าจึงออกแบบให้มีแรงต้านทานการหมุนต่ำ จะช่วยรักษาระยะทางขับขี่ให้ได้ตามที่ผู้ผลิตเคลมไว้

  1. เสียงรบกวนต่ำกว่า

 

        เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าไม่มีกระบวนการเผาไหม้เหมือนกับรถน้ำมันทั่วไป ทำให้รถไฟฟ้ามีการทำงานที่เงียบสนิท ผู้ขับขี่และผู้โดยสารจึงมีโอกาสได้ยินเสียงรบกวนที่เกิดขึ้นได้ง่ายกว่า ดังนั้นยางรถยนต์ไฟฟ้าจึงถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อลดเสียงรบกวนให้น้อยที่สุดนั่นเอง

4 สาเหตุว่าทำไมรถบางคันขับทางไกลแล้วรู้สึกเหนื่อย

ช่วงล่างแข็งกระด้าง

     รถแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อก็มีการเซ็ตช่วงล่างแตกต่างกันออกไป เพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าแต่ละแบบ หากว่านำรถที่เซ็ตช่วงล่างแข็งกระด้างเพื่อเน้นฟีลลิ่งแบบสปอร์ตมาขับทางไกลแล้วล่ะก็ แรงสะเทือนจากพื้้นถนนที่สะท้อนขึ้นห้องโดยสารอย่างต่อเนื่องจะทำให้รู้สึกไม่สบายในการขับขี่ ถือเป็นเหตุผลหลักว่าทำไมการขับรถทางไกลถึงรู้สึกเหนื่อยกว่าปกติ เพราะรถที่ขับอยู่นั้นถูกเซ็ตช่วงล่างเพื่อให้ขับสนุกนั่นเอง

ฐานล้อสั้น

     รถยนต์ขนาดเล็กโดยเฉพาะรถกลุ่ม B-segment มักมีฐานล้อค่อนข้างสั้นเพื่อเน้นความคล่องตัวในเมือง การนำมาขับต่อเนื่องเป็นระยะทางไกลๆ จะทำให้ผู้ขับขี่ต้องใช้สมาธิในการควบคุมรถมากกว่าปกติ เพื่อไม่ให้รถมีอาการวอกแวกที่ความเร็วสูง จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุว่าทำไมการขับรถเล็กจึงไม่เหมาะสำหรับการวิ่งทางไกลเหมือนกับรถรุ่นใหญ่

พละกำลังเครื่องยนต์ไม่เพียงพอ

     รถยนต์ที่มีพละกำลังของเครื่องยนต์ไม่เหมาะสมกับน้ำหนักตัวรถ จะทำให้การขับขี่รู้สึกอืดกว่าปกติ การเร่งแซงที่ความเร็วสูงเป็นไปอย่างลำบาก เพราะกำลังของเครื่องยนต์ไม่เพียงพอ แม้ว่าจะคิกดาวน์ก็ทำให้เครื่องยนต์เกิดเสียงดังน่ารำคาญ แถมยังเพิ่มอัตราการสึกหรอของเครื่องยนต์และระบบเกียร์มากกว่าปกติอีกด้วย

ห้องโดยสารมีเสียงดัง

     การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารถือเป็นสิ่งสำคัญกว่าที่หลายคนคิด เพราะหากรถมีการเก็บเสียงที่แย่ จะทำให้ผู้ขับขี่เกิดความรู้สึกรำคาญอย่างไม่รู้ตัว ทำให้การขับรถไกลรู้สึกไม่สบายเท่าที่ควร ยิ่งรถคันไหนขาดการดูแลระบบเครื่องยนต์และช่วงล่าง อาจทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนส่งมายังพวงมาลัย เมื่อต้องจับพวงมาลัยต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานก็ทำให้รู้สึกไม่สบายได้เช่นกัน

ทำไมยางรถยนต์ต้องเป็นสีดำ

        ถึงเวลาเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่ เจ้าของรถทุกคนย่อมมองหายางที่มีคุณภาพเพื่อเปลี่ยนให้กับรถยนต์ของตนเอง แต่นอกจากเรื่องของคุณภาพแล้ว เชื่อว่ามีหลายคน โดยเฉพาะคนที่ชอบตกแต่งรถยนต์ คงเคยสงสัยว่า หากต้องการหายางรถยนต์ที่มีสีสันสดใสมาใส่ให้รถของเราบ้างได้หรือไม่? แล้วทำไมยางรถยนต์ต้องเป็นสีดำอย่างเดียวเท่านั้น และการที่ยางรถยนต์มีสีดำจะมีประโยชน์อย่างไร? เราจะพาไปทำความรู้จักกับ Carbon Black 
      Carbon Black (คาร์บอน แบล็ก) คือ สสารเกิดจากการเผาไหม้อย่างไม่สมบูรณ์ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม มีลักษณะเป็นเม็ดผงละเอียดสีดำ มีขนาดเท่า ๆ กัน มีคุณสมบัติทนต่อแรงเสียดทาน และมีความยืดหยุ่นสูง ผู้ผลิตยางจึงมักนำมาผสมในเนื้อยาง โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นดอกยางจะมีคาร์บอนแบล็กเป็นองค์ประกอบถึง 25% และการผสมคาร์บอนแบล็กลงในเนื้อยาง คือสาเหตุว่าทำไมยางรถยนต์ต้องเป็นสีดำนั่นเอง

error: Content is protected !!