เคล็ดลับ ป้องกันการปวดหลังจากการขับรถ

       เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณต้องเดินทางไกล การขับรถนานๆ มักเกิดอาการปวดหลังนั่นไม่ใช่เรื่องแปลก ยิ่งถ้าเป็นช่วงเวลาที่การจราจรติดขัดด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ต้องนั่งเกร็งอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าหากปวดบ่อยๆ ขับนิดๆ หน่อยก็เริ่มปวดแล้ว จนเริ่มมีความกังวลว่าอาการปวดหลังเริ่มจะเรื้อรังแล้วหรือไม่? ก่อนจะสายเกินไปมาดู 5 เคล็ดลับที่จะช่วยป้องกันอาการปวดหลัง ด้วยวิธีปรับท่าทางในการนั่งขับรถ ดังต่อไปนี้

  1. ปรับเบาะให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง

      หากคุณไม่ได้เป็นคนใช้รถคนเดียวในบ้าน และมีสมาชิกคนอื่นๆ ใช้รถคันเดียวกับคุณ ดังนั้นสิ่งแรกที่ควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนขับรถออกไป ก็คือการปรับเบาะที่นั่งให้ถูกต้อง เช่น มุมองศาพนักพิงควรอยู่ประมาณ 110-130 องศา เพื่อป้องกันไม่ให้หลังทรุดหรือเอื้อมไปข้างหน้ามากเกินไป ซึ่งการนั่งในตำแหน่งที่ถูกต้องจะช่วยป้องกันการบาดเจ็บที่หลังได้มากถึง 50% 

  1. ขยับเบาะไปด้านหน้าเล็กน้อย

      การเลื่อนเบาะไปข้างหน้าเล็กน้อยทำให้คุณอยู่ใกล้กับพวงมาลัยมากขึ้น ไม่ทำให้หลังค่อมและไม่ต้องเอื้อมไปเหยียบคันเร่งแรงๆ อีกด้วย และท่าที่ดีที่สุดก็คือการที่เข่าของคุณไม่สูงไปกว่าสะโพก 

  1. ปรับตำแหน่งพวงมาลัย

      นอกจากการปรับตำแหน่งเบาะนั่งให้ถูกต้องแล้ว คุณจะต้องปรับตำแหน่งของพวงมาลัยเพื่อป้องกันอาการปวดหลังด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งจากการวิจัยพบว่า ควรวางมือไว้ที่ตำแหน่ง 9 นาฬิกา และ 3 นาฬิกา วิธีนี้จะช่วยให้คุณวางศอกบนที่วางแขนได้  ช่วยให้บรรเทาอาการปวดบริเวณหลังส่วนบนได้

  1. ยืดกล้ามเนื้อบ่อยๆ

      การนั่งเป็นเวลานานๆ อาจทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการชาได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้กล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่อง ในขณะที่รอรถติดไฟแดง ควรยืดกล้ามเนื้อบ่อยๆ เพื่อผ่อนคลาย จะทำให้คุณขับรถได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น 

  1. เตรียมถุงน้ำแข็ง / ถุงร้อน ไว้ในรถ

      หากคุณมีแพลนที่จะเดินทางไกลควรเตรียมถุงน้ำแข็งหรือถุงร้อนไว้ในรถเสมอ หากมีอาการบาดเจ็บเฉียบพลันให้ใช้ถุงน้ำแข็ง แต่ถ้ามีอาการบาดเจ็บเรื้อรังให้ใช้ถุงร้อน แต่ก็ไม่ได้มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัวดังนั้นคุณสามารถเลือกใช้ทั้ง 2 ประเภทได้ตามใจชอบ โดยการนำเอาไว้บริเวณด้านหลังบนเบาะ ถุงเหล่านี้จะช่วยคลายกล้ามเนื้อและลดความครียดที่หลังได้ สำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ จะมีฟังก์ชั่นเบาะร้อน/เย็น ที่สั่งการง่ายๆ เพียงกดปุ่มเดียว ซึ่งสามารถใช้ได้เช่นเดียวกัน 

 

เทคนิคการปรับกระจกมองข้าง

     การปรับมุมมองกระจกมองข้างที่ดี จะช่วยเพิ่มทัศนวิสัยด้านหลังให้ชัดเจนและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น แล้วการปรับกระจกมองข้างที่ถูกต้องควรทำอย่างไร?

     การปรับกระจกมองข้างที่ถูกต้อง ไม่เพียงแต่ช่วยให้มองรถด้านหลังได้อย่างชัดเจนขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการเกิดมุมอับสายตา (Blind Spot) ได้ ทำให้การเปลี่ยนเลนทำได้อย่างปลอดภัย สามารถมองเห็นรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ที่อยู่เยื้องไปทางด้านหลังได้ดีกว่า

     การปรับกระจกมองข้างทำได้ง่ายๆ ดังนี้

1.ปรับตำแหน่งเบาะนั่งให้เหมาะสมที่สุด และนั่งในท่านั่งที่สบาย ตำแหน่งศีรษะพิงกับพนักพิง

2.ปรับกระจกใน แนวนอน ให้เห็นตัวรถประมาณ 1 ใน 8 ของมุมมองทั้งหมด

3.ปรับกระจกใน แนวตั้ง ให้ขอบถนนสูงประมาณ 1 ใน 4 ของมุมมองทั้งหมด

     มุมที่ได้จากการปรับกระจกในลักษณะนี้ จะช่วยให้มองเห็นส่วนท้ายของตัวรถได้ ทำให้สามารถกะระยะห่างระหว่างตัวรถได้ง่ายขึ้น ขณะที่ความสูงยังพอเหมาะพอที่จะเห็นพื้นถนนไปพร้อมๆ กับรถที่มีความสูงมากเป็นพิเศษ เช่น รถบรรทุก, รถบัส ฯลฯ

ประมาทร่วมคืออะไร?

       ในความเป็นจริงแล้ว “ประมาทร่วม” นั้นเป็นคำที่นำมาเรียกใช้กันเองในกรณีที่ต่างฝ่ายต่างประมาท ซึ่งในทางกฎหมาย การประมาทร่วม จะหมายถึง “ต่างฝ่ายต่างประมาทไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน” โดยสามารถตีความได้หลายนัยยะ ต้องดูว่าใครประมาทมากหรือน้อยกว่ากัน หรือถ้าให้พูดอย่างง่ายก็คือสามารถตีความได้ว่าผิดกันทั้งคู่ แต่ในแง่การรับผิดชอบก็จะขึ้นอยู่กับความเสียหายที่เกิดขึ้นอีกที

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ เช่น นาย ก. ขับรถฝ่าไฟแดงมา แล้วชนเข้ากับ นาย ค. ที่ขับรถด้วยความเร็วเกินกฎหมายกำหนด ซึ่งในกรณีแบบนี้เจ้าหน้าที่จะตัดสินให้ว่าเป็นคดีรถชน ประมาทร่วม ต้องชดเชยค่าเสียหายให้กันตามความเหมาะสม

ประมาทร่วมแบบนี้ ใครเป็นผู้รับผิดชอบ?

        กรณีหากเกิดการชนจากการประมาทร่วมแบบนี้ มักจะจบกันที่แยกย้ายต่างฝ่ายต่างไปซ่อมรถของตัวเอง ซึ่งถ้าหากใครทำประกันรถยนต์เอาไว้ถือว่าเป็นโชคดี เพราะไม่ต้องควักเงินมาจ่ายค่าซ่อมรถเอง

ระบบ Airbag ในรถยนต์

       ระบบ Airbag หรือถุงลมนิรภัยในรถยนต์เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่มีความสำคัญต่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสารในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ การพัฒนาและติดตั้งระบบนี้มีผลอย่างมากในการลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บรุนแรงถึงชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการชนอย่างรุนแรง ระบบ Airbag ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันที่ช่วยลดแรงกระแทกจากการชนของร่างกายกับส่วนต่างๆ ภายในห้องโดยสาร

การทำงานของ Airbag

       เมื่อเกิดการชนอย่างรุนแรง ระบบเซ็นเซอร์ในรถยนต์จะตรวจจับแรงกระแทกและส่งสัญญาณไปยังชุดควบคุม เพื่อสั่งการให้ถุงลมภายในรถยนต์ถูกปล่อยออกมาภายในเสี้ยววินาที (ประมาณ 0.02 วินาที) เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารชนกับส่วนที่แข็งของรถ เช่น พวงมาลัย แผงหน้าปัด หรือกระจกหน้ารถ ถุงลมที่พองตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจะช่วยลดแรงกระแทกและการบาดเจ็บจากการชน โดยเฉพาะบริเวณศีรษะและหน้าอก

ประเภทของ Airbag

  1. Airbag ด้านหน้า (Front airbags): ใช้สำหรับปกป้องผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าจากการชนด้านหน้า
  2. Side airbags: ถุงลมที่ติดตั้งบริเวณข้างประตู หรือที่นั่งเพื่อป้องกันการกระแทกจากด้านข้าง เช่น ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุชนกับรถคันอื่น
  3. Curtain airbags: ถุงลมที่ตั้งอยู่ด้านข้างเหนือศีรษะเพื่อป้องกันการกระแทกจากการชนด้านข้างหรือพลิกคว่ำ
  4. Knee airbags: ถุงลมที่ปกป้องเข่าของผู้ขับขี่และผู้โดยสารจากการกระแทกกับแผงหน้าปัด

รถความร้อนขึ้น หรือ เครื่องยนต์ Overheat ต้องทำยังไง

       รถความร้อนขึ้น หรือที่เรียกกันว่า เครื่องยนต์ Overheat มักเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติจากส่วนใดส่วนหนึ่งในเครื่องยนต์ จนทำให้ภายในห้องเครื่องไม่สามารถระบายความร้อนออกมาเองได้ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัญหาของรถยนต์ที่ผู้ขับขี่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด เพราะถ้าหากปล่อยให้เกิดปัญหาขึ้นอย่างบ่อยครั้ง อาจส่งผลกระทบต่อเครื่องยนต์จนเสียหายหนัก หรืออาจทำให้รถยนต์ดับหรือขับไปต่อไม่ได้เลย

รถความร้อนขึ้นต้องทำไง

    เมื่อผู้ขับขี่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์รถความร้อนขึ้นหรือเครื่องยนต์ Overheat สิ่งแรกที่ผู้ขับขี่ต้องทำเลยคือ การตั้งสติ เมื่อเรามีสติแล้วสิ่งต้องปฏิบัติต่อไปก็จะทำได้โดยง่าย ซึ่งจะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้

หาพื้นที่ปลอดภัย เพื่อจอดพักรถ

    เมื่อหน้าปัดรถยนต์เริ่มมีสัญญาณไฟเตือนเกี่ยวกับความร้อนรถยนต์สูงขึ้น ผู้ขับขี่ต้องรีบทำการมองหาพื้นที่ที่ปลอดภัย พร้อมกับการปิดแอร์รถ เพื่อที่จะไม่ให้รถยนต์ต้องทำงานหนักขึ้น หลังจากได้ที่จอดรถที่ปลอดภัย ให้ทำการจอดรถพร้อมกับการดับเครื่องยนต์

เปิดฝากระโปรงรถยนต์

    หลังจากจอรถเสร็จ ให้เปิดฝากระโปรงรถ เพื่อที่จะระบายความร้อนออกจากห้องเครื่องยนต์ แต่ต้องระวังตอนเปิดฝากกระโปรงรถ เพราะอาจมีไอความร้อนพุ่งขึ้นมา และสิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาด คือ การใช้น้ำราดที่ตัวเครื่องยนต์ เพราะอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้

ทิ้งให้เครื่องเย็น แล้วค่อยเปิดฝาหมอน้ำ

    หลังจากที่ผู้ขับขี่เปิดฝากระโปรงรถไปสักพัก จนเครื่องยนต์เริ่มเย็นลงแล้ว ให้ผู้ขับขี่ลองเปิดฝาหม้อน้ำ เพื่อเช็คระดับน้ำว่าอยุ่ในจุดที่เหมาะสมไหม ที่สำคัญห้ามเปิดฝาหม้อน้ำในขณะเครื่องร้อน เพราะถ้าเปิดตอนที่น้ำร้อนๆ อาจมีไอความน้ำพุ่งขึ้นมาลวกเราได้

เติมน้ำลงหม้อน้ำ เมื่อเต็มแล้วทิ้งไว้สักพัก

    หลังจากเปิดฝาหม้อน้ำพร้อมเช็คระดับน้ำแล้ว ให้ผู้ขับขี่เติมน้ำเปล่าหรือน้ำหล่อเย็นช้าๆ จนเต็ม หลังจากนั้นทิ้งรถไว้สัก 5-10 นาที แล้วค่อยสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่ และจากนั้นให้ออกตัวพร้อมขับรถช้าๆ และรีบนำรถไปเข้าศูนย์บริการหรืออู่ใกล้เคียง เพื่อตรวจสอบอีกครั้งให้แน่ใจนะครับ

เกียร์ DHT ใน Haval H6 และ Haval Jolion

      DHT หรือ Dedicated Hybrid Transmission เป็นระบบเกียร์ที่พัฒนาและออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการใช้งานร่วมกับเครื่องยนต์แบบไฮบริด ระบบนี้มีจุดเด่นที่สามารถสลับการทำงานระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างราบรื่น ซึ่งช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างนุ่มนวลและมีประสิทธิภาพ ระบบเกียร์ DHT นี้มีทั้งเกียร์แบบ single-speed และ multi-speed ซึ่งถูกปรับให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าในรถยนต์ไฮบริด เพื่อให้สามารถถ่ายโอนพลังงานได้ดีที่สุด

      ในขณะที่ระบบเกียร์ทั่วไป เช่น เกียร์อัตโนมัติ CVT (Continuously Variable Transmission) หรือเกียร์อัตโนมัติแบบ AT (Automatic Transmission) ต้องใช้กลไกที่ซับซ้อนในการสลับเปลี่ยนเกียร์ ระบบ DHT ถูกออกแบบให้สามารถเชื่อมโยงการทำงานระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าได้โดยตรง ส่งผลให้การส่งกำลังเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานสูงกว่า

ทำไมระบบเกียร์ DHT ถึงมีประสิทธิภาพ?

      เหตุผลที่ระบบเกียร์ DHT มีประสิทธิภาพสูงคือ การใช้ระบบมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วยเสริมการขับเคลื่อน ในช่วงที่เครื่องยนต์ต้องการกำลังสูง เช่น ช่วงออกตัวหรือช่วงที่ต้องการอัตราเร่ง ระบบ DHT จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าช่วยในการขับเคลื่อน ทำให้ลดการใช้น้ำมันและเพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่ นอกจากนี้ ระบบ DHT ยังถูกออกแบบให้มีอัตราทดที่เหมาะสมกับการใช้งานแบบไฮบริด ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์เป็นไปอย่างราบรื่นและให้สมรรถนะที่ดีในทุกความเร็ว

มิเตอร์ไฟฟ้า กับการติดตั้ง EV Charger ชาร์จรถไฟฟ้าภายในบ้าน

      ผู้ใช้รถยนต์ EV ที่ต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า หรือ EV Charger ที่บ้าน สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรก ๆ คือ การเลือกใช้มิเตอร์ที่สามารถรองรับการติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าได้ และมีความเหมาะสมกับตัวรถยนต์ที่ใช้ เพราะรถแต่ละรุ่นสามารถรองรับไฟได้ไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น ก่อนติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า จะต้องพิจารณาทั้งตัวสเปกรถยนต์ มิเตอร์ไฟฟ้าที่บ้าน รวมถึงการเลือกจุดติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าภายในบ้าน เพื่อให้การใช้งานมีประสิทธิภาพ และไม่ส่งผลเสียต่อวงจรไฟฟ้าในครัวเรือน

กำลังไฟของ Onboard Charger

      หากยึดตามรถยนต์ไฟฟ้าที่จำหน่ายในบ้านเรา สามารถแบ่งตามตัว Onboard Charger ของรถยนต์ EV ที่สามารถรองรับกำลังไฟได้ทั้งหมด 3 รูปแบบหลัก ๆ คือ

  • กำลังไฟ 6kW
  • กำลังไฟ 11kW
  • กำลังไฟ 22kW

ติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า ใช้มิเตอร์แบบไหน

      หลังจากที่เรารู้แล้วว่ารถยนต์ที่ใช้รองรับกำลังไฟได้เท่าไหร่บ้าง ก็จะทำให้รู้ว่าควรจะติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าแบบไหน เพื่อให้เหมาะสมต่อการใช้งานมากที่สุด ซึ่งถ้าหากรถยนต์รองรับกำลังไฟอยู่ที่ 6kW ก็เท่ากับว่าใช้มิเตอร์ไฟ 1-Phase 30(100) ก็ถือว่าเพียงพอ เพราะต่อให้ติดตั้ง Wall Charger ที่มากกว่านี้ แต่สุดท้ายรถยนต์ EV ก็สามารถรองรับกำลังไฟได้ตามสเปกเท่านั้น แต่หากเป็นรถไฟฟ้าที่สามารถรองรับกระแสได้ถึง 11kW นั่นหมายความว่า ผู้ใช้รถที่ต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า จะต้องเปลี่ยนไปใช้มิเตอร์ไฟ 3-Phase 30(100) แทน เพื่อให้การชาร์จไฟมีประสิทธิภาพตามสเปกของรถไฟฟ้านั่นเอง

วิธีแก้เบาะรถเหม็นอับ บอกลากลิ่นไม่พึงประสงค์ในรถยนต์

        การทำความสะอาดเบาะรถยนต์แต่ละประเภทนั้นจะมีวิธีและเทคนิคที่แตกต่างกันออกไป จึงต้องเลือกใช้วิธีที่ถูกต้องเพื่อให้กำจัดกลิ่นเหม็นอับได้ผลและไม่ทำให้เบาะรถเสียหาย

  1. วิธีทำความสะอาดเบาะหนังแท้

        ให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำเปล่าบิดหมาดแล้วเช็ดที่เบาะให้ทั่ว ใช้แปรงสีฟันหรือแปรงที่มีขนแปรงนุ่ม ๆ ชุบน้ำยาทำความสะอาดหนังแท้ แปรงบริเวณที่สกปรก หลังจากนั้นให้ใช้ผ้าขนหนูสะอาดเช็ดตาม ทำในส่วนที่สกปรกเป็นจุด ๆ แล้วผึ่งลมให้เบาะแห้ง แล้วใช้น้ำยาเคลือบเบาะหนังทาทั่วทั้งตัวเบาะ 

  1. วิธีทำความสะอาดเบาะหนังเทียม

        ใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดเอาเศษผงตามร่องออก แล้วใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ หรือผ้าชามัวร์ ชุบน้ำหรือสบู่เหลวในการเช็ดเบาะ โดยชุบน้ำเพียงเล็กน้อย เพราะถ้าเปียกเกินไปจะเกิดความชื้น ทำให้เบาะมีกลิ่นเหม็นอับได้ แต่ถ้าเบาะหนังสกปรกมากให้ใช้น้ำยาทำความสะอาดเบาะหนังขัด โดยจะทำความสะอาดคราบสกปรกที่ซ่อนอยู่ได้ดีกว่าการใช้ผ้าผสมสบู่เช็ด เสร็จแล้วให้เคลือบเบาะหนังด้วยสเปรย์เคลือบดูแลรักษาสภาพหนังเป็นขั้นตอนสุดท้าย

  1. วิธีทำความสะอาดเบาะผ้า

        ควรใช้เครื่องดูดฝุ่นที่ใช้สำหรับรถยนต์โดยเฉพาะ เพราะจะสามารถดูดเศษผงหรือสิ่งสกปรกที่หลบตามซอกมุมเล็ก ๆ ได้ดี ถ้าพบว่าตัวเบาะผ้านั้นมีคราบ ให้ฉีดน้ำยาทำความสะอาดเบาะผ้าแบบบาง ๆ เพราะถ้าฉีดแบบชุ่มเกินไปอาจทำให้ตัวเบาะใต้ผ้าหุ้มขึ้นราหรือเหม็นอับได้ หลังจากนั้นให้นำแปรงมาขัดตรงที่สกปรก แล้วให้ใช้กระดาษทิชชูซับ ซึ่งถ้าหากไม่ใช้ทิชชูซับความเปียกชื้นจะทำให้เบาะผ้าเกิดกลิ่นอับและแบคทีเรียได้ เสร็จแล้วให้ใช้แป้งโรยเพื่อดูดซับความชื้นที่ตกค้างอยู่ที่ผ้าอีกครั้ง แต่ถ้าเบาะผ้านั้นเลอะและสกปรกมาก ควรเข้ารับบริการที่ร้านคาร์แคร์ เพื่อให้ทางร้านถอดเบาะออกมาซักให้จะดีที่สุด

ควรต่ออายุประกันรถยนต์ล่วงหน้านานเท่าไหร่

       การต่อประกันรถล่วงหน้า แม้จะไม่มีกฎระเบียบว่าต้องต่ออายุล่วงหน้านานเท่าไหร่ แต่ระยะเวลาที่แนะนำคือควรต่ออายุล่วงหน้า 1-3 เดือน เหตุผลสำคัญเพราะจะได้รับการคุ้มครองอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องกังวลว่าจะหลงลืม ที่สำคัญระยะเวลา 1-3 เดือน เพียงพอกับการเปรียบเทียบราคาและเงื่อนไขจากบริษัทประกันหลายเจ้า มีเวลาสอบถามรายละเอียดประกันรถอย่างละเอียด จะได้เป็นเจ้าของประกันรถราคาดี ได้สิทธิประโยชน์คุ้มค่าที่สุด

ข้อดีของการต่อประกันรถล่วงหน้า

  • ขับขี่อุ่นใจ ความคุ้มครองต่อเนื่อง

เหตุผลสำคัญที่ควรทำประกันรถล่วงหน้า นอกจากป้องกันการหลงลืมแล้วยังทำให้ใช้รถใช้ถนนอย่างอุ่นใจ เพราะความคุ้มครองต่อเนื่อง เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอย่างน้อยก็มีประกันรถที่ช่วยผ่อนหนักเป็นเบา เมื่อรู้แบบนี้แนะนำให้รีบดูความคุ้มครองรถยนต์กันเลยว่าหมดอายุเมื่อไหร่

  • มีเวลาเปรียบเทียบประกันรถรวมทุกบริษัท

การต่อประกันรถล่วงหน้าทำให้มีเวลาเปรียบเทียบราคา ส่วนลด สิทธิพิเศษ และเงื่อนไขความคุ้มครองอย่างละเอียด แถมยังมีเวลาเช็กประกันรถ กับ TQM หรือโบรกเกอร์ที่สนใจ เพื่อการเป็นเจ้าของประกันรถที่ตอบโจทย์ที่สุด

  • บริหารการเงิน

การดูแผนประกันรถยนต์ล่าสุด นอกจากดูความคุ้มครองปัจจุบันแล้วยังได้ดูราคาประกันรถฉบับปัจจุบันเปรียบเทียบกับประกันฉบับใหม่ นี่จึงถือเป็นการบริหารเงินไปในตัว ทำให้ทราบก่อนว่าในเดือนนั้น ๆ จะมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับประกันเท่าไหร่จึงทำให้เตรียมเงินสำรองไว้ได้

เพื่อความมั่นใจในชีวิตและทรัพย์สินของคุณ การต่อประกันภัยกับ ชูเกียรติแคร์ เป็นทางเลือกที่ดีที่จะช่วยปกป้องคุณจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด เรามีบริการประกันภัยหลากหลายประเภท ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณ

ทำไมต้องต่อประกันภัยกับ ชูเกียรติแคร์?

  • ความคุ้มครองที่เชื่อถือได้: บริการที่ครอบคลุมทุกความเสี่ยง
  • บริการลูกค้าด้วยใจ: ทีมงานพร้อมให้คำแนะนำและดูแลตลอดทั้งปี
  • การเคลมรวดเร็วและง่ายดาย: เรามีระบบเคลมที่สะดวกและรวดเร็ว

อย่ารอช้า! ต่อประกันภัยกับเราในวันนี้ เพื่อให้คุณมั่นใจในทุกก้าวของชีวิต

ติดต่อสอบถามและต่อประกันภัยได้ที่063-082-2668 หรือ 063-394-5611

5 ผลเสียที่เกิดจากการขับรถตกหลุมบ่อย มีอะไรบ้าง?

  1. ช่วงล่างเสียหาย- ความเสียหายของช่วงล่างที่เกิดจากการตกหลุมบ่อย เช่น ปีกนกคด, บูชแตกหรือขาด จะทำให้เกิดแรงสะเทือนจากช่วงล่างมายังพวงมาลัยมากขึ้น เกิดเสียงดังขณะขับขี่ รวมถึงโช้กอัปอาจรั่วไวกว่าปกติ ส่งผลให้การทรงตัวของรถไม่ดี
  2. ล้อและยางเสียหาย- การกระแทกจากหลุมบ่ออาจทำให้ล้อแม็กเกิดรอยบุบ รอยแตก หรือขอบล้อเสียรูปได้ นอกจากนี้ ยางรถยนต์ยังอาจเกิดรอยปริ หรือแตกได้ ซึ่งส่งผลต่อการยึดเกาะถนนและความปลอดภัยในการขับขี่
  3. ระบบพวงมาลัยเสียหาย- การกระแทกอย่างแรงอาจทำให้ปลายเพลาคดงอ หรือเสียหายได้ ส่งผลให้พวงมาลัยสั่น หรือมีเสียงดังขณะขับขี่ นอกจากนี้ ยังอาจทำให้การควบคุมรถทำได้ยากขึ้น
  4. ตัวถังรถเสียหาย- ในกรณีที่ตกหลุมขนาดใหญ่และแรงกระแทกแรงมาก อาจทำให้โครงรถเสียรูปได้ นอกจากนี้ ชิ้นส่วนตัวถังต่างๆ เช่น กันชน ประตู อาจหลวม หรือเกิดเสียงดังได้ ซึ่งส่งผลต่อความสวยงามและความแข็งแรงของรถยนต์
  5. ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมสูง- การซ่อมแซมส่วนประกอบต่างๆ ที่เสียหายจากการตกหลุมบ่อมีค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเสียหายหลายส่วน ซึ่งล้วนแต่เป็นค่าใช้จ่ายที่สามารถหลีกเลี่ยงได้หากเพิ่มความระมัดระวังในการขับรถ
error: Content is protected !!