กฎหมายความเร็ว ต้องขับเท่าไร? ไม่ให้โดนปรับ

       กฎกระทรวงคมนาคม กำหนดให้ความเร็วขั้นสูงสำหรับการขับรถในทางหลวงแผ่นดิน และทางหลวงชนบท ที่มีทางเดินรถที่จัดแบ่งช่องเดินรถในทิศทางเดียวกันไว้ตั้งแต่ 2 ช่องเดินรถ มีเกาะกลางถนนเฉพาะแบบกำแพงกั้น และไม่มีจุดกลับรถเสมอระดับถนน ให้ขับรถแต่ละประเภทในทางเดินรถโดยใช้ความเร็วไม่เกิน ดังนี้

🚗 รถยนต์ทั่วไป ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง

🛵 รถจักรยานยนต์ทั่วไป ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง

🚚 รถบรรทุกที่มีน้ำหนักเกิน 2,200 กิโลกรัม รถบรรทุกคนโดยสารที่บรรทุกคนโดยสารเกิน 15 คน ใช้ความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง

🚛 รถในขณะที่ลากจูงรถอื่น, รถยนต์สี่ล้อเล็ก, หรือรถยนต์สามล้อ ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกิน 65 กิโลเมตร/ชั่วโมง

🏍️ รถจักรยานยนต์ ( บิ๊กไบค์ ) ที่มีกำลังเครื่องยนต์ตั้งแต่ 46 แรงม้าขึ้นไป หรือมีขนาดความจุของกระบอกสูบรวมกันตั้งแต่ 400 ซี.ซี. ขึ้นไป ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง

🚌 รถโรงเรียน หรือรถรับ-ส่งนักเรียน ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง

🚐 รถบรรทุกคนโดยสารเกิน 7 คน แต่ไม่เกิน 15 คน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง

🚜 รถแทรกเตอร์, รถบดถนน, รถใช้งานเกษตรกรรม ใช้ความเร็วไม่เกิน 45 กิโลเมตร/ชั่วโมง

    ทั้งนี้ จะมีการกำหนดความเร็วขั้นต่ำสำหรับการขับรถในช่องเดินรถช่องทางขวาสุดของทางเดินรถในทางหลวง ซึ่งจัดแบ่งช่องเดินรถในทิศทางเดียวกันไว้ตั้งแต่ 2 ช่องทางขึ้นไป โดยให้รถยนต์ที่ขับในช่องทางเดินรถช่องขวาสุดใช้ความเร็วไม่ต่ำกว่า 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
หากขับรถเร็วเกินที่กฎหมายกำหนด จะมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท

4 วิธีดูแลสีรถ ให้ใหม่อยู่เสมอ

    แสงแดดร้อนแรงในประเทศไทย ถือว่าเป็นอุปสรรคความเงางามของสีรถ วันนี้เรามีเคล็ดลับการดูแลสีรถ ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ก็ยังดูใหม่อยู่เสมอ มีอะไรบ้างมาดูกันเลย

1. หลีกเลี่ยงการจอดตากแดด

แสงแดด คือ ตัวร้ายที่คอยทำลายสีรถ ให้ซีดจางลงอยู่เสมอ ดังนั้น พยายามหลีกเลี่ยงการจอดรถตากแดดเป็นเวลานาน

2. อย่าปล่อยให้รถสกปรก นานเกินไป

สิ่งสกปรกบนสีผิวรถ ไม่ว่าฝุ่น หรือคราบใดๆ ย่อมเป็นสาเหตุให้ชั้นเคลือบสีรถเสื่อมสภาพ ทำให้ไม่มีความเงางาม

3. ล้างรถให้ถูกวิธี

การล้างรถควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน แนะนำให้ล้างจากด้านบนลงด้านล่าง และควรเช็ดน้ำออกทันที ไม่ควรปล่อยให้แห้งเอง เพราะจะเป็นรอยด่าง ไม่มีความสวยงาม

4. เคลือบสีรถ เพิ่มเกราะป้องกัน

การเคลือบสีรถ เปรียบเสมือนเกราะป้องกันให้กับสีตัวถังรถ จากคราบฝุ่นละออง และดินทรายต่างๆ รวมถึงรังสี UV จากแสงแดดอีกด้วย

เพื่อความปลอดภัย! ไม่ควรทิ้งสิ่งของเหล่านี้ไว้ในรถ

       เป็นเรื่องปกติที่ผู้ใช้รถ มักจะเก็บสิ่งของหรือสัมภาระต่างๆ เอาไว้ภายในรถ แต่รู้หรือไม่ว่า มีสิ่งของบางอย่าง ที่ไม่ควรทิ้งไว้ในรถ เพราะอาจสร้างความเสียหายให้กับรถของคุณได้

1. โทรศัพท์มือถือ

ความร้อนของแสงแดดที่ส่องเข้ามาภายในตัวรถ สามารถทำให้วงจรไฟฟ้า ของโทรศัพท์มือถือเกิดความเสียหายได้ หากเปิดเครื่องเอาไว้ด้วย
จะยิ่งเสี่ยงต่อการระเบิดของแบตเตอรี่ โดยเฉพาะโทรศัพท์รุ่นเก่า ที่มีการใช้งานยาวนาน ตัวแบตเตอรี่จะเสื่อมสภาพ เป็นฉนวนของการระเบิดได้เป็นอย่างดี

2. แผ่นยางกันลื่น

แผ่นยางกันลื่นดูเหมือนไม่สร้างปัญหาอะไรได้ แต่ก็อีกหนึ่งสิ่ง ที่ไม่ควรละเลย เพราะถ้าจอดรถไว้ในสถานที่ที่โดนความร้อนเป็นเวลานาน
อาจส่งผลให้อุปกรณ์ที่ทำจากยางเกิดการละลาย และทำให้รถของคุณเกิดความเสียหายได้

3. แบตเตอรี่สำรอง ( Power Bank )

ถ้าเผลอวางแบตสำรองไว้บนรถในช่วงที่คุณจอดรถไว้กลางแดด แบตสำรองที่โดนความร้อนนาน แบตเตอรี่จะเสื่อมเร็ว และมีอายุการใช้งานสั้น และอาจทำให้เกิดอันตรายต่อรถได้
เพราะในแบตเตอรี่สำรองมีสารลิเธียม เป็นโลหะที่ไวต่อความร้อน อาจทำให้เกิดการลัดวงจรเมื่อเจอความร้อนสูงได้

4. ไฟแช็ก

หากวางทิ้งไว้ในรถที่จอดตากแดด อาจส่งผลให้เกิดการระเบิดได้ เพราะว่า ไฟแช็ก เป็นสิ่งที่ห้ามทิ้งไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิสูงเกิน 50 องศาเซลเซียส เวลาที่เราจอดรถตากแดด ทำให้อุณหภูมิภายในรถยนต์ สามารถสูงขึ้นไปได้ถึง 60 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว

5. กระป๋องสเปรย์

เพราะกระป๋องสเปรย์ มันอาจกลิ้งเข้าไปขัดกับขาเบรก ขัดขาคันเร่ง อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ รวมไปถึงอาจเกิดการระเบิดขึ้น เมื่อโดนความร้อนมากๆ เนื่องจากในกระป๋องสเปรย์นั้นมีสารเคมีบรรจุอยู่

6. อาหาร

เพราะนอกจากจะทำให้รถสกปรกแล้ว ยังทำให้เกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ อาจส่งผลกระทบในระยะยาวต่อระบบปรับอากาศภายในรถได้ อีกทั้งยังเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค และเรียกสัตว์หรือแมลงตัวเล็ก ๆ เข้ามาในรถ ซึ่งอาจก่อความเสียหายอื่นๆได้อีกด้วย

7. ขวดน้ำพลาสติก

ขวดน้ำ เพียงขวดเดียว ก็อาจทำให้เกิดไฟไหม้รถได้ สาเหตุเกิดจาก จอดรถตากแดด และขวดน้ำนั้นทำมุมองศากับแสงแดด จนกลายเป็นการตกกระทบที่รวมแสงไว้ในที่เดียว เพียง 7 นาทีเท่านั้น ก็อาจก่อให้เกิดไฟไหม้สิ่งของภายในรถได้เลย

7 วิธีถนอมเกียร์ออโต้ ให้ใช้งานได้นานมากขึ้น

       ระบบเกียร์ออโต้ หรือเกียร์อัตโนมัติ เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนรถ รับแรงส่งจากเครื่องยนต์ไปยังล้อทั้ง 4 ด้าน ถ้าชุดเกียร์เสื่อมสภาพหรือมีปัญหา อาจต้องควักเงินก้อนโตในการซ่อมหรือเปลี่ยนชุดเกียร์ใหม่ทั้งหมด
การถนอมเกียร์ออโต้ไว้ตั้งแต่ตอนนี้ จึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่จะมีวิธีถนอมเกียร์ออโต้อย่างไร ? มาดูกันเลย
1. อย่าคิกดาวน์ ถ้าไม่จำเป็น
     กรณีขับรถเร่งแซงหรือต้องการหลบหลีกสถานการณ์บนถนนอย่างรวดเร็ว ทำให้หลายคนเหยียบคันเร่งลึกกว่าปกติเพื่อเพิ่มความเร็ว ซึ่งนั่นก็คือ การคิกดาวน์ แต่การคิกดาวน์บ่อยๆ ชุดเกียร์จะได้รับแรงบิดเพิ่มขึ้นกะทันหันแบบเกินความจำเป็นส่งผลให้ชุดเกียร์เกิดความเสียหาย สึกหรอเร็วกว่าปกติ ทางที่ดีควรค่อยๆ เพิ่มความเร็วขึ้นไปเพื่อถนอมเกียร์ไว้จะดีที่สุด
2. เหยียบเบรกก่อนเปลี่ยนเกียร์
     การเปลี่ยนเกียร์ทุกครั้ง จะต้องเหยียบเบรกก่อน เพื่อป้องกันการกระชากเกียร์ หากมีการเหยียบเบรกไว้ จะช่วยให้ระบบส่งกำลังเต็มที่ และทำงานได้อย่างลื่นไหล เป็นการถนอมชุดเฟืองเกียร์ให้มีอายุการใช้งานได้อย่างดี
3. รถติดนาน ควรเข้าเกียร์ N
     ในขณะที่รถติด แล้วเหยียบเบรกพร้อมเข้าเกียร์ D ไว้ ชุดเกียร์จะยังทำงานอยู่ และหากทำเช่นนั้นนานเกิดไป จะทำให้เกียร์ทำงานหนักและเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ฉะนั้นหากรถติดนานเกินกว่า 2 นาที แนะนำให้เข้าเกียร์ N แล้วใส่เบรกมือ (ป้องกันรถไหล) ปล่อยเบรก จะช่วยถนอมเกียร์และยืดอายุการใช้งานได้นานขึ้น
4. รอรถนิ่งก่อน ค่อยเข้าเกียร์ R
    การเปลี่ยนเกียร์เดินหน้าถอยหลัง จะเกิดแรงหมุนที่สวนทางกัน ฉะนั้นก่อนเข้าเกียร์ R ทุกครั้ง จะต้องรอให้รถหยุดนิ่ง เพื่อเป็นการถนอมเกียร์ และป้องกันอันตรายต่อชุดเฟือง สายพาน และลูกปืนต่างๆ
5. ไม่ขับลากเกียร์
    ขณะที่ความเร็มรถกำลังเพิ่มขึ้น แต่เลือกใช้เกียร์ในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง คือการขับลากเกียร์ จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนัก ส่งผลต่อชุดเกียร์ที่สึกหรอเร็วขึ้น น้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น และที่สำคัญทำให้เปลืองน้ำมันมากกว่าปกติ
6. ใช้เบรกมือ เมื่อจอดบนทางลาดชัน
    การจอดรถบนทางลาดชันโดยไม่ใช้เบรกมือร่วมด้วยกับกาารเข้าเกียร์ P จะทำให้สลักเกียร์ต้องรับน้ำหนักมากเกินไป ฉะนั้น เมื่อต้องจอดบนทางลาดชัน ควรใช้เบรกมือควบคู่กับการใส่เกียร์ P เพื่อป้องกันรถไหล และถนอมเกียร์ไม่ให้ทำงานหนัก
7. หมั่นตรวจสภาพน้ำมันเกียร์
    น้ำมันเกียร์ ควรเปลี่ยนทุกๆ 6 เดือน หรือ ปีละ 2 ครั้ง หรืออยู่ที่ประมาณ 40,000 – 60,000 กิโลเมตร จะช่วยถนอมชุดเกียร์ไว้ได้ โดยวิธีสังเกตน้ำมันเกียร์ หากเริ่มมีสีน้ำตาลหรือสีดำ
นั่นเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์แล้ว ไม่ควรปล่อยให้น้ำมันเกียร์ที่ขุ่นค้างอยู่ในเครื่องยนต์เป็นเวลานานเกินไป จะทำให้ชุดเกียร์สึกหรอได้

   จบไปแล้วกับวิธีการถนอมเกียร์ออโต้ หากทำตามนี้รับรองว่าจะช่วยยืดอายุการใช้งานของชุดเกียร์ไปได้อีกหลายปีเลยทีเดียว

5 จุดเด่นที่น่าสนใจของ New HAVAL H6 Hybrid SUV

      สำหรับ New HAVAL H6 นับเป็นรถยนต์ที่มีความโดดเด่นของความล้ำสมัยจากเทคโนโลยีที่ทาง HAVAL ใส่มาแบบจัดเต็ม รวมถึงรูปทรงการออกแบบทั้งภายนอกและภายใน
ที่โดดเด่นสะดุดตา จนมาถึงวันนี้ที่มีการปรับโฉมใหม่ ซึ่งเป็นการอัพเกรดในเรื่องความสวยงามให้มากขึ้นไปอีกระดับ

โดยความโดดเด่นที่ล้ำสมัยของ New HAVAL H6 Hybrid SUV มีความน่าสนใจอยู่ 5 จุดเด่นนั่นก็คือ

  1.  เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร เทอร์โบ ที่ผสานการทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 243 แรงม้า และแรงบิดรวมสูงสุดถึง 530 นิวตันเมตร พร้อมโหมดการขับขี่ 4 โหมด และโหมดลุยน้ำสำหรับสภาพถนนที่มีน้ำท่วมขัง เพื่อปกป้องการทำงานของระบบไฮบริด
  2.  ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (ARA) ในกรณีที่คุณขับรถเข้าไปในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย แบบซอยแคบแล้วเป็นทางตันเป็นเหตุให้คุณต้องถอยออกในสภาพเส้นทางที่จำกัด แต่ระบบนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้คุณ ในแบบที่คุณไม่ต้องกังวล และสบายใจได้ในการถอยหลังออกจากทางเดิมอย่างปลอดภัย
  3.  ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (IIP) ซึ่งมี 3 รูปแบบ ในการช่วยจอด ไม่ว่าจะเป็นการจอดแบบถอยหลังเข้าซอย, การจอดแบบขนานกับฟุตบาท และการจอดแบบเฉียง ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกในการจอดได้อยากสะดวกสบายและปลอดภัย
  4. ระบบช่วยจับรถขนาดใหญ่ (WDS) ระบบนี้เป็นความล้ำสมัยที่จะช่วยในเรื่องความปลอดภัยในการขับขี่ ซึ่งระบบจะช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง โดยระบบจะตรวจสอบรถบรรทุกขนาดใหญ่หรือรถที่มีขนาดยาว ในระหว่างการแซง ระบบจะรักษาช่องว่างระหว่างรถตามระยะที่เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ และกลับสู่เลนเดิมอัตโนมัติ
  5.  กล้องรอบคัน 360 องศา มีความละเอียดสูงระดับ 4 ล้านพิกเซล ในการแสดงภาพรอบตัวรถยนต์สามารถมองเห็นสภาพถนนรอบตัวรถยนต์ได้อย่างง่ายดาย เมื่อขับขี่รถยนต์บนถนนแคบหรือจอดรถยนต์ ซึ่งช่วยทำให้มองง่าย ชัดเจน มากขึ้น

5 เทคนิคขับรถลุยน้ำท่วม ปลอดภัยไร้อุบัติเหตุและสถานการณ์อันตราย

  1. เมื่อระดับน้ำสูงเท่าล้อรถ ควรใช้ความเร็วต่ำและรักษาความเร็วให้คงที่ ห้ามดับเครื่องยนต์กลางน้ำแล้วสตาร์ทเครื่อง
  2. เมื่อระดับน้ำสูงเท่ายางรถ ควรออกจากรถต้องปลดเข็มขัดนิรภัยก่อน ปลดล็อคประตูไฟฟ้าของรถยนต์ เปิดซันรูฟ การทำงานของวงจรรถยนต์อาจล้มเหลวในช่วงขณะนั้น ควรใช้ไหล่ดันประตูรถทันที
  3. เมื่อระดับน้ำสูงเท่ามือจับประตูรถยนต์ ต้องหาทางทุบหน้าต่างกระจกให้แตกเพื่อหนีออกจากตัวรถ
  4. เมื่อระดับน้ำสูงเท่าหน้าต่างรถแล้ว เราสามารถหนีออกจากรถผ่านทางซันรูฟหรือท้ายรถ ด้วยการปรับที่นั่งข้างหลังให้นอนลงมาแล้วเปิดสวิตช์ฉุกเฉินท้ายรถ
  5. เมื่อรถจมในน้ำแล้ว อย่ายอมแพ้ ยังมีโอกาสเอาชีวิตรอดได้ โดยให้ใช้ของแข็งมาทุบหน้าต่าง เพื่อหนีออกจากตัวรถแล้วพยายามว่ายน้ำขึ้นสู่ผิวน้ำให้เร็วที่สุดและขอความช่วยเหลือจากคนอื่นทันที
“ฝนตก ภัยพิบัติน้ำท่วมเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ร้ายแรงต่อความปลอดภัยในการเดินทาง
พยายามหลีกเลี่ยงการขับรถลุยน้ำลึกเพื่อความปลอดภัย”

How to “ชาร์จไฟรถ EV ผ่านแอป GWM”⚡

การใช้งานแอปพลิเคชันต่าง ๆ กลายมาเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ผู้บริโภคใช้งานกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน หลากหลายแบรนด์ต่างก็พัฒนาฟีเจอร์บนแอปพลิเคชันเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในฐานะ “บริษัทที่ให้บริการการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีระดับโลก” (Global Mobility Technology Company) ได้พัฒนา GWM Application ขึ้น เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะช่วยเชื่อมต่อประสบการณ์แบบ O2O (Online-to-Offline) ในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร บริการ กิจกรรม และการดำเนินธุรกรรม รวมไปถึงเป็นพื้นที่ออนไลน์ในการแบ่งปันเรื่องราวและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกันผ่านขั้นตอนการใช้งานที่ง่าย สะดวกสบาย และสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างเต็มที่

ให้ทุกขั้นตอนในการเป็นเจ้าของรถยนต์จากเกรท วอลล์ มอเตอร์ เป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบายสำหรับคุณ

 GWM Application  เชื่อมต่อกับสถานีชาร์จมากกว่า 700 แห่งทั่วประเทศ ผู้ใช้สามารถค้นหาตำแหน่งของสถานีชาร์จเพื่อนำทางไปได้อย่างง่ายดาย สำหรับสถานีชาร์จซุปเปอร์ชาร์จและสถานีชาร์จพาร์ทเนอร์ ผู้ใช้สามารถตรวจสอบความพร้อมใช้งานของตัวเชื่อมต่อ ตรวจสอบสถานะการชาร์จ และรับการแจ้งเตือนเมื่อคุณพร้อมออกเดินทาง

จอดรถตากฝน ทำให้สีรถหมอง จริงหรือ ?

จริง ๆ แล้วแสงแดดคือตัวการลำดับแรกที่มีผลทำให้สีรถหมอง แต่ฝนก็เป็นลำดับถัดมาที่ทำให้สีรถหมองได้เหมือนกัน เพราะฝนที่ตกลงมาในปัจจุบันไม่ได้เป็นหยดน้ำที่มีความสะอาดเหมือนในสมัยก่อน เนื่องจากสภาพอากาศในบ้านเราเต็มไปด้วยมลภาวะ ฝุ่นละออง สารเคมีต่าง ๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศ เมื่อฝนตกลงมาก็จะชะล้างสิ่งสกปรกเหล่านั้นลงมาด้วย ไม่ว่าจะขับรถอยู่หรือจอดไว้เฉย ๆ หากปล่อยไว้ให้แห้งโดยไม่ทำความสะอาดในทันที ก็จะเกิดเป็นคราบเคลือบชั้นผิวรถอีกทีหนึ่งทำให้สีรถดูหมอง หรือทิ้งไว้นานอาจกลายเป็นคราบที่ติดฝังแน่นได้ จะเห็นได้ชัดเจนในรถสีขาว

นอกจากการจอดรถตากฝนจะมีผลเสียกับภายนอกของตัวรถแล้ว ยังสามารถสร้างปัญหาให้กับอุปกรณ์ภายในเครื่องยนต์ได้เช่นกัน เพราะการจอดรถตากฝนเป็นระยะเวลานาน ๆ โดยเฉพาะช่วงเวลากลางคืน ชิ้นส่วนภายในห้องเครื่องจะเกิดความชื้นสะสม ส่งผลให้การสตาร์ตเครื่องรถยนต์ในตอนเช้านั้นทำได้ยาก หรืออาจสตาร์ตไม่ติดเลยก็เป็นได้

วิธีดูแลรถจอดตากฝน

1.ล้างและทำความสะอาดในทันที

          หากเป็นไปได้ในทุกครั้งที่ต้องจอดรถตากฝน หรือขับรถลุยฝนมา ควรเช็ดล้าง ทำความสะอาดในทันที โดยใช้น้ำสะอาดฉีดล้างตัวรถให้ทั่วเพื่อชะล้างเศษฝุ่น คราบต่าง ๆ ก่อน ไม่ควรใช้ผ้าเช็ดในทันที เพราะอาจทำให้สีรถเป็นรอย

2. หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด

          เมื่อรถยนต์ของเราเปียกฝน ไม่ควรนำรถไปโดนแสงแดดในทันทีโดยทียังไม่ได้เช็ดล้างทำความสะอาด เพราะแสงแดดจะทำให้น้ำระเหยออก และทิ้งร่องรอย คราบ ฝุ่นต่าง ๆ ไว้ที่ตัวรถ ทำให้สีรถดูหมอง ไม่เงางาม

3. เคลือบสีรถอยู่เสมอ

          ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงการจอดรถตากฝนได้ การเคลือบสีรถยนต์หรือการใช้น้ำยาขัดสีรถ อาจเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยปกป้องรถได้ในระดับหนึ่ง เพราะนอกจากสารที่เคลือบชั้นสีตัวรถอยู่นั้นจะช่วยไม่ให้น้ำ หรือสิ่งสกปรกต่าง ๆ ติดบนพื้นผิวของรถได้ง่าย ยังช่วยป้องกันรังสี UV หากจำเป็นต้องจอดรถตากแดด และที่สำคัญการเคลือบสีรถยังช่วยลดริ้วรอยต่าง ๆ ได้อีกด้วย

4.จอดในที่ร่มดีที่สุด

          ไม่ว่าจะวิธีไหน ๆ การจอดรถในที่ร่ม หรือที่ที่มีหลังคาก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องรถยนต์จากทั้งน้ำฝนและแสงแดด หากไม่สามารถหาได้จริง ๆ อาจเลือกใช้ผ้าคลุมรถเป็นการป้องกันในเบื้องต้นก่อน

          อย่างไรก็ตาม การจอดรถตากฝน หรือตากแดดอาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากในปัจจุบัน ด้วยข้อจำกัดในเรื่องของพื้นที่และลักษณะของที่อยู่อาศัยซึ่งอาจมีที่จอดรถไม่เพียงพอ ดังนั้น เราควรหมั่นล้าง ทำความสะอาด และเคลือบสีเป็นประจำ เพื่อให้รถยนต์สะอาด เงางาม ดูใหม่อยู่เสมอ

 เจ้าเหมียว ORA Good Cat สุดล้ำ พร้อมเทคโนโลยีเเห่งอนาคต

ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมการช่วยเข้าโค้งอัจฉริยะ

ปรับลดความเร็วอัตโนมัติเมื่อมีรถอยู่ด้านหน้า และควบคุมความเร็วของรถให้คงที่ พร้อมฟังก์ชันที่พิเศษกว่าใครกับระบบช่วยเข้าโค้งอัจฉริยะ ช่วยลดความเร็วขณะเข้าโค้ง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุให้การขับขี่ปลอดภัยขึ้นอีกขั้น

ระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะ 3 รูปแบบ ให้คุณถอยจอดง่าย สบายกว่าเคย

สัมผัสการจอดรถที่สะดวกสบายแบบที่คุณไม่ต้องควบคุมพวงมาลัยเองโดยระบบจะตรวจจับวัตถุและเครื่องหมายบริเวณช่องจอดพร้อมคำนวณพื้นที่และช่วยควบคุมรถให้จอดเองอัตโนมัติครอบคลุมการจอดรถมากถึง 3 รูปแบบ

ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินบนทางตรงและทางแยก ช่วยให้ระบบการขับขี่ปลอดภัย สามารถเบรกได้ทันที

มอบความปลอดภัยให้ทั้งคุณและเพื่อนร่วมทางบนท้องถนนด้วยเซนเซอร์ตรวจจับทางแยกคนเดินถนนร่วมถึงรถด้านหน้า และหลังพร้อมส่งสัญญาณเตือนด้วยเสียงและเบรกอัตโนมัติเพื่อการขับขี่ที่ไร้กังวลในทุกเส้นทาง

🚗 ฟีเจอร์สุดล้ำใน  HAVAL H6 PHEV ช่วยให้ชีวิตของคุณเหนือชั้นกว่าเดิม 

⚡️ 1 Charge = 201 KM ชาร์จครั้งเดียว เที่ยวได้ไกล 200 กิโลเมตร

✅ Kick Sensor เพิ่มความสบายให้ชีวิต เปิดฝาท้าย ไม่ต้องสัมผัส

✅ ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ 3 รูปแบบ ที่เปลี่ยนเรื่องจอดยาก ให้เป็นเรื่องง่าย สบายกว่าที่เคย

🚗ถอยจอดอัตโนมัติแนวตรง
🚗ถอยจอดอัตโนมัติแนวเฉียง
🚗ถอยจอดอัตโนมัติเทียบด้านข้าง

error: Content is protected !!