บทความ

รถความร้อนขึ้น หรือ เครื่องยนต์ Overheat ต้องทำยังไง

       รถความร้อนขึ้น หรือที่เรียกกันว่า เครื่องยนต์ Overheat มักเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติจากส่วนใดส่วนหนึ่งในเครื่องยนต์ จนทำให้ภายในห้องเครื่องไม่สามารถระบายความร้อนออกมาเองได้ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัญหาของรถยนต์ที่ผู้ขับขี่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด เพราะถ้าหากปล่อยให้เกิดปัญหาขึ้นอย่างบ่อยครั้ง อาจส่งผลกระทบต่อเครื่องยนต์จนเสียหายหนัก หรืออาจทำให้รถยนต์ดับหรือขับไปต่อไม่ได้เลย

รถความร้อนขึ้นต้องทำไง

    เมื่อผู้ขับขี่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์รถความร้อนขึ้นหรือเครื่องยนต์ Overheat สิ่งแรกที่ผู้ขับขี่ต้องทำเลยคือ การตั้งสติ เมื่อเรามีสติแล้วสิ่งต้องปฏิบัติต่อไปก็จะทำได้โดยง่าย ซึ่งจะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้

หาพื้นที่ปลอดภัย เพื่อจอดพักรถ

    เมื่อหน้าปัดรถยนต์เริ่มมีสัญญาณไฟเตือนเกี่ยวกับความร้อนรถยนต์สูงขึ้น ผู้ขับขี่ต้องรีบทำการมองหาพื้นที่ที่ปลอดภัย พร้อมกับการปิดแอร์รถ เพื่อที่จะไม่ให้รถยนต์ต้องทำงานหนักขึ้น หลังจากได้ที่จอดรถที่ปลอดภัย ให้ทำการจอดรถพร้อมกับการดับเครื่องยนต์

เปิดฝากระโปรงรถยนต์

    หลังจากจอรถเสร็จ ให้เปิดฝากระโปรงรถ เพื่อที่จะระบายความร้อนออกจากห้องเครื่องยนต์ แต่ต้องระวังตอนเปิดฝากกระโปรงรถ เพราะอาจมีไอความร้อนพุ่งขึ้นมา และสิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาด คือ การใช้น้ำราดที่ตัวเครื่องยนต์ เพราะอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้

ทิ้งให้เครื่องเย็น แล้วค่อยเปิดฝาหมอน้ำ

    หลังจากที่ผู้ขับขี่เปิดฝากระโปรงรถไปสักพัก จนเครื่องยนต์เริ่มเย็นลงแล้ว ให้ผู้ขับขี่ลองเปิดฝาหม้อน้ำ เพื่อเช็คระดับน้ำว่าอยุ่ในจุดที่เหมาะสมไหม ที่สำคัญห้ามเปิดฝาหม้อน้ำในขณะเครื่องร้อน เพราะถ้าเปิดตอนที่น้ำร้อนๆ อาจมีไอความน้ำพุ่งขึ้นมาลวกเราได้

เติมน้ำลงหม้อน้ำ เมื่อเต็มแล้วทิ้งไว้สักพัก

    หลังจากเปิดฝาหม้อน้ำพร้อมเช็คระดับน้ำแล้ว ให้ผู้ขับขี่เติมน้ำเปล่าหรือน้ำหล่อเย็นช้าๆ จนเต็ม หลังจากนั้นทิ้งรถไว้สัก 5-10 นาที แล้วค่อยสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่ และจากนั้นให้ออกตัวพร้อมขับรถช้าๆ และรีบนำรถไปเข้าศูนย์บริการหรืออู่ใกล้เคียง เพื่อตรวจสอบอีกครั้งให้แน่ใจนะครับ

บทความ

เกียร์ DHT ใน Haval H6 และ Haval Jolion

      DHT หรือ Dedicated Hybrid Transmission เป็นระบบเกียร์ที่พัฒนาและออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการใช้งานร่วมกับเครื่องยนต์แบบไฮบริด ระบบนี้มีจุดเด่นที่สามารถสลับการทำงานระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างราบรื่น ซึ่งช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างนุ่มนวลและมีประสิทธิภาพ ระบบเกียร์ DHT นี้มีทั้งเกียร์แบบ single-speed และ multi-speed ซึ่งถูกปรับให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าในรถยนต์ไฮบริด เพื่อให้สามารถถ่ายโอนพลังงานได้ดีที่สุด

      ในขณะที่ระบบเกียร์ทั่วไป เช่น เกียร์อัตโนมัติ CVT (Continuously Variable Transmission) หรือเกียร์อัตโนมัติแบบ AT (Automatic Transmission) ต้องใช้กลไกที่ซับซ้อนในการสลับเปลี่ยนเกียร์ ระบบ DHT ถูกออกแบบให้สามารถเชื่อมโยงการทำงานระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าได้โดยตรง ส่งผลให้การส่งกำลังเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานสูงกว่า

ทำไมระบบเกียร์ DHT ถึงมีประสิทธิภาพ?

      เหตุผลที่ระบบเกียร์ DHT มีประสิทธิภาพสูงคือ การใช้ระบบมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วยเสริมการขับเคลื่อน ในช่วงที่เครื่องยนต์ต้องการกำลังสูง เช่น ช่วงออกตัวหรือช่วงที่ต้องการอัตราเร่ง ระบบ DHT จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าช่วยในการขับเคลื่อน ทำให้ลดการใช้น้ำมันและเพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่ นอกจากนี้ ระบบ DHT ยังถูกออกแบบให้มีอัตราทดที่เหมาะสมกับการใช้งานแบบไฮบริด ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์เป็นไปอย่างราบรื่นและให้สมรรถนะที่ดีในทุกความเร็ว

บทความ

มิเตอร์ไฟฟ้า กับการติดตั้ง EV Charger ชาร์จรถไฟฟ้าภายในบ้าน

      ผู้ใช้รถยนต์ EV ที่ต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า หรือ EV Charger ที่บ้าน สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรก ๆ คือ การเลือกใช้มิเตอร์ที่สามารถรองรับการติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าได้ และมีความเหมาะสมกับตัวรถยนต์ที่ใช้ เพราะรถแต่ละรุ่นสามารถรองรับไฟได้ไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น ก่อนติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า จะต้องพิจารณาทั้งตัวสเปกรถยนต์ มิเตอร์ไฟฟ้าที่บ้าน รวมถึงการเลือกจุดติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าภายในบ้าน เพื่อให้การใช้งานมีประสิทธิภาพ และไม่ส่งผลเสียต่อวงจรไฟฟ้าในครัวเรือน

กำลังไฟของ Onboard Charger

      หากยึดตามรถยนต์ไฟฟ้าที่จำหน่ายในบ้านเรา สามารถแบ่งตามตัว Onboard Charger ของรถยนต์ EV ที่สามารถรองรับกำลังไฟได้ทั้งหมด 3 รูปแบบหลัก ๆ คือ

  • กำลังไฟ 6kW
  • กำลังไฟ 11kW
  • กำลังไฟ 22kW

ติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า ใช้มิเตอร์แบบไหน

      หลังจากที่เรารู้แล้วว่ารถยนต์ที่ใช้รองรับกำลังไฟได้เท่าไหร่บ้าง ก็จะทำให้รู้ว่าควรจะติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าแบบไหน เพื่อให้เหมาะสมต่อการใช้งานมากที่สุด ซึ่งถ้าหากรถยนต์รองรับกำลังไฟอยู่ที่ 6kW ก็เท่ากับว่าใช้มิเตอร์ไฟ 1-Phase 30(100) ก็ถือว่าเพียงพอ เพราะต่อให้ติดตั้ง Wall Charger ที่มากกว่านี้ แต่สุดท้ายรถยนต์ EV ก็สามารถรองรับกำลังไฟได้ตามสเปกเท่านั้น แต่หากเป็นรถไฟฟ้าที่สามารถรองรับกระแสได้ถึง 11kW นั่นหมายความว่า ผู้ใช้รถที่ต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า จะต้องเปลี่ยนไปใช้มิเตอร์ไฟ 3-Phase 30(100) แทน เพื่อให้การชาร์จไฟมีประสิทธิภาพตามสเปกของรถไฟฟ้านั่นเอง

บทความ

วิธีแก้เบาะรถเหม็นอับ บอกลากลิ่นไม่พึงประสงค์ในรถยนต์

        การทำความสะอาดเบาะรถยนต์แต่ละประเภทนั้นจะมีวิธีและเทคนิคที่แตกต่างกันออกไป จึงต้องเลือกใช้วิธีที่ถูกต้องเพื่อให้กำจัดกลิ่นเหม็นอับได้ผลและไม่ทำให้เบาะรถเสียหาย

  1. วิธีทำความสะอาดเบาะหนังแท้

        ให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำเปล่าบิดหมาดแล้วเช็ดที่เบาะให้ทั่ว ใช้แปรงสีฟันหรือแปรงที่มีขนแปรงนุ่ม ๆ ชุบน้ำยาทำความสะอาดหนังแท้ แปรงบริเวณที่สกปรก หลังจากนั้นให้ใช้ผ้าขนหนูสะอาดเช็ดตาม ทำในส่วนที่สกปรกเป็นจุด ๆ แล้วผึ่งลมให้เบาะแห้ง แล้วใช้น้ำยาเคลือบเบาะหนังทาทั่วทั้งตัวเบาะ 

  1. วิธีทำความสะอาดเบาะหนังเทียม

        ใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดเอาเศษผงตามร่องออก แล้วใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ หรือผ้าชามัวร์ ชุบน้ำหรือสบู่เหลวในการเช็ดเบาะ โดยชุบน้ำเพียงเล็กน้อย เพราะถ้าเปียกเกินไปจะเกิดความชื้น ทำให้เบาะมีกลิ่นเหม็นอับได้ แต่ถ้าเบาะหนังสกปรกมากให้ใช้น้ำยาทำความสะอาดเบาะหนังขัด โดยจะทำความสะอาดคราบสกปรกที่ซ่อนอยู่ได้ดีกว่าการใช้ผ้าผสมสบู่เช็ด เสร็จแล้วให้เคลือบเบาะหนังด้วยสเปรย์เคลือบดูแลรักษาสภาพหนังเป็นขั้นตอนสุดท้าย

  1. วิธีทำความสะอาดเบาะผ้า

        ควรใช้เครื่องดูดฝุ่นที่ใช้สำหรับรถยนต์โดยเฉพาะ เพราะจะสามารถดูดเศษผงหรือสิ่งสกปรกที่หลบตามซอกมุมเล็ก ๆ ได้ดี ถ้าพบว่าตัวเบาะผ้านั้นมีคราบ ให้ฉีดน้ำยาทำความสะอาดเบาะผ้าแบบบาง ๆ เพราะถ้าฉีดแบบชุ่มเกินไปอาจทำให้ตัวเบาะใต้ผ้าหุ้มขึ้นราหรือเหม็นอับได้ หลังจากนั้นให้นำแปรงมาขัดตรงที่สกปรก แล้วให้ใช้กระดาษทิชชูซับ ซึ่งถ้าหากไม่ใช้ทิชชูซับความเปียกชื้นจะทำให้เบาะผ้าเกิดกลิ่นอับและแบคทีเรียได้ เสร็จแล้วให้ใช้แป้งโรยเพื่อดูดซับความชื้นที่ตกค้างอยู่ที่ผ้าอีกครั้ง แต่ถ้าเบาะผ้านั้นเลอะและสกปรกมาก ควรเข้ารับบริการที่ร้านคาร์แคร์ เพื่อให้ทางร้านถอดเบาะออกมาซักให้จะดีที่สุด

บทความ

ควรต่ออายุประกันรถยนต์ล่วงหน้านานเท่าไหร่

       การต่อประกันรถล่วงหน้า แม้จะไม่มีกฎระเบียบว่าต้องต่ออายุล่วงหน้านานเท่าไหร่ แต่ระยะเวลาที่แนะนำคือควรต่ออายุล่วงหน้า 1-3 เดือน เหตุผลสำคัญเพราะจะได้รับการคุ้มครองอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องกังวลว่าจะหลงลืม ที่สำคัญระยะเวลา 1-3 เดือน เพียงพอกับการเปรียบเทียบราคาและเงื่อนไขจากบริษัทประกันหลายเจ้า มีเวลาสอบถามรายละเอียดประกันรถอย่างละเอียด จะได้เป็นเจ้าของประกันรถราคาดี ได้สิทธิประโยชน์คุ้มค่าที่สุด

ข้อดีของการต่อประกันรถล่วงหน้า

  • ขับขี่อุ่นใจ ความคุ้มครองต่อเนื่อง

เหตุผลสำคัญที่ควรทำประกันรถล่วงหน้า นอกจากป้องกันการหลงลืมแล้วยังทำให้ใช้รถใช้ถนนอย่างอุ่นใจ เพราะความคุ้มครองต่อเนื่อง เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอย่างน้อยก็มีประกันรถที่ช่วยผ่อนหนักเป็นเบา เมื่อรู้แบบนี้แนะนำให้รีบดูความคุ้มครองรถยนต์กันเลยว่าหมดอายุเมื่อไหร่

  • มีเวลาเปรียบเทียบประกันรถรวมทุกบริษัท

การต่อประกันรถล่วงหน้าทำให้มีเวลาเปรียบเทียบราคา ส่วนลด สิทธิพิเศษ และเงื่อนไขความคุ้มครองอย่างละเอียด แถมยังมีเวลาเช็กประกันรถ กับ TQM หรือโบรกเกอร์ที่สนใจ เพื่อการเป็นเจ้าของประกันรถที่ตอบโจทย์ที่สุด

  • บริหารการเงิน

การดูแผนประกันรถยนต์ล่าสุด นอกจากดูความคุ้มครองปัจจุบันแล้วยังได้ดูราคาประกันรถฉบับปัจจุบันเปรียบเทียบกับประกันฉบับใหม่ นี่จึงถือเป็นการบริหารเงินไปในตัว ทำให้ทราบก่อนว่าในเดือนนั้น ๆ จะมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับประกันเท่าไหร่จึงทำให้เตรียมเงินสำรองไว้ได้

เพื่อความมั่นใจในชีวิตและทรัพย์สินของคุณ การต่อประกันภัยกับ ชูเกียรติแคร์ เป็นทางเลือกที่ดีที่จะช่วยปกป้องคุณจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด เรามีบริการประกันภัยหลากหลายประเภท ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณ

ทำไมต้องต่อประกันภัยกับ ชูเกียรติแคร์?

  • ความคุ้มครองที่เชื่อถือได้: บริการที่ครอบคลุมทุกความเสี่ยง
  • บริการลูกค้าด้วยใจ: ทีมงานพร้อมให้คำแนะนำและดูแลตลอดทั้งปี
  • การเคลมรวดเร็วและง่ายดาย: เรามีระบบเคลมที่สะดวกและรวดเร็ว

อย่ารอช้า! ต่อประกันภัยกับเราในวันนี้ เพื่อให้คุณมั่นใจในทุกก้าวของชีวิต

ติดต่อสอบถามและต่อประกันภัยได้ที่063-082-2668 หรือ 063-394-5611

บทความ

5 ผลเสียที่เกิดจากการขับรถตกหลุมบ่อย มีอะไรบ้าง?

  1. ช่วงล่างเสียหาย- ความเสียหายของช่วงล่างที่เกิดจากการตกหลุมบ่อย เช่น ปีกนกคด, บูชแตกหรือขาด จะทำให้เกิดแรงสะเทือนจากช่วงล่างมายังพวงมาลัยมากขึ้น เกิดเสียงดังขณะขับขี่ รวมถึงโช้กอัปอาจรั่วไวกว่าปกติ ส่งผลให้การทรงตัวของรถไม่ดี
  2. ล้อและยางเสียหาย- การกระแทกจากหลุมบ่ออาจทำให้ล้อแม็กเกิดรอยบุบ รอยแตก หรือขอบล้อเสียรูปได้ นอกจากนี้ ยางรถยนต์ยังอาจเกิดรอยปริ หรือแตกได้ ซึ่งส่งผลต่อการยึดเกาะถนนและความปลอดภัยในการขับขี่
  3. ระบบพวงมาลัยเสียหาย- การกระแทกอย่างแรงอาจทำให้ปลายเพลาคดงอ หรือเสียหายได้ ส่งผลให้พวงมาลัยสั่น หรือมีเสียงดังขณะขับขี่ นอกจากนี้ ยังอาจทำให้การควบคุมรถทำได้ยากขึ้น
  4. ตัวถังรถเสียหาย- ในกรณีที่ตกหลุมขนาดใหญ่และแรงกระแทกแรงมาก อาจทำให้โครงรถเสียรูปได้ นอกจากนี้ ชิ้นส่วนตัวถังต่างๆ เช่น กันชน ประตู อาจหลวม หรือเกิดเสียงดังได้ ซึ่งส่งผลต่อความสวยงามและความแข็งแรงของรถยนต์
  5. ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมสูง- การซ่อมแซมส่วนประกอบต่างๆ ที่เสียหายจากการตกหลุมบ่อมีค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเสียหายหลายส่วน ซึ่งล้วนแต่เป็นค่าใช้จ่ายที่สามารถหลีกเลี่ยงได้หากเพิ่มความระมัดระวังในการขับรถ
บทความ

จำเป็นแค่ไหน ต้องสลับยางทุก 10,000 กม.?

ประโยชน์ของการสลับยางทุก 10,000 กม.

       การสลับยางรถยนต์เป็นสิ่งที่เจ้าของรถหลายคนละเลย แต่ความจริงแล้วการสลับยางมีประโยชน์กว่าที่หลายคนคิด เนื่องจากยางแต่ละเส้นจะสึกหรอไม่เท่ากัน อันเป็นผลมาจากน้ำหนักของรถและการกระจายน้ำหนักที่แตกต่างกัน การสลับยางจะช่วยให้ยางสึกหรอได้สม่ำเสมอมากขึ้น ทำให้ยางมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นนั่นเอง

       นอกจากนี้ การที่ยางมีการสึกหรอใกล้เคียงกันทั้ง 4 เส้น ยังจะช่วยส่งผลให้รถยึดเกาะถนนได้ดีขึ้น ทั้งในสภาพถนนแห้งและเปียก ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ได้อีกด้วย

การสลับยางควรทำเมื่อใด?

       การสลับยางควรทำทุก 10,000 กม. ถือเป็นระยะทางที่เหมาะสมสำหรับการสลับยาง แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งานของรถด้วย หรือหากสังเกตเห็นว่าดอกยางด้านหน้าสึกหรอมากกว่าด้านหลัง หรือด้านซ้ายสึกหรอมากกว่าด้านขวา ควรนำรถเข้าตรวจสอบและสลับยางไปพร้อมกัน

ดังนั้น การสลับยางทุก 10,000 กิโลเมตรเป็นสิ่งที่ควรทำ เพื่อยืดอายุการใช้งานของยางและเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่นั่นเองครับ

บทความ

ผ้าเบรกไหม้ แก้ไขยังไง ?

       เทคนิคการสังเกตปัญหาผ้าเบรกไหม้ที่อาจจะเกิดกับระบบเบรกของรถยนต์  และต้องรู้วิธีรับมือผ้าเบรกไหม้ เพราะ “เบรก” เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์สำคัญในการขับขี่ให้ปลอดภัย ต้องใส่ใจดูแลให้ดี มาเข้าเรื่องผ้าเบรกไหม้กันดีกว่า  

เช็กอาการผ้าเบรกไหม้

  • เหยียบเบรคแล้วเบรคจม 
  • เกิดควันโขมงที่ล้อทั้งสองข้าง ควันกลิ่นเหม็น

       หากดึงดันขับไปเรื่อย ๆ อาจจะเบรกไม่อยู่ ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมการขับขี่รถเร็วและชอบแตะเบรกกะทันหันอยู่บ่อย ๆ แตะเบรกลากยาว บ่อยครั้งเลยล่ะที่เราจะได้กลิ่นผ้าเบรกไหม้  โดยเฉพาะถนนที่มีโค้งเยอะ ๆ เนื่องจากมีความร้อนสะสมที่ผ้าเบรก น่ากลัวที่สุดคือเบรกจม เบรกไม่อยู่เพราะร้อนจัด ทำให้รถยนต์เสียหลักได้ 

เหตุที่ทำให้ผ้าเบรกไหม้

  • เพราะโชว์เฟอร์ไม่เซียนแตะเบรกแช่ยาวเกินไปทำให้เบรกไหม้ 
  • ไม่ค่อยได้เช็กระบบเบรกหรือเปลี่ยนน้ำมันเบรกตามระยะที่ควร
  • ไม่ใช่เกียร์ต่ำเวลาลงเขา ทำให้ต้องเบรกตลอดเวลา 

วิธีรับมือเหตุผ้าเบรกไหม้ 

  • จอดพักรถในที่ปลอดภัยประมาณ20-30 นาที จนกว่าเบรกรถยนต์จะเย็นลง ห้ามราดน้ำ เพราะจะทำให้จานเบรกคด หากขับรถทางไกลควรพักรถเป็นระยะ ระหว่างขับจะแง้มกระจกไว้สักนิดก็ได้เผื่อได้กลิ่นไหม้ และควรเปลี่ยนผ้าใบเบรกตามระยะเวลาที่กำหนดทุก ๆ 25,000 กม. 
  • ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการขับขี่ของคุณด้วยหากขับบ่อย บรรทุกของหนัก ขับรถเร็ว แน่นอนว่าผ้าเบรกเสื่อมไวชัวร์ ๆ 
บทความ

วิธีลดความร้อนแบตเตอรี่ EV

  1. จอดในที่ร่ม

         วิธีที่ง่ายที่สุด คือ การจอดรถในที่ร่ม หลีกเลี่ยงบริเวณที่แสงแดดสาดส่องโดยตรง เพราะจะช่วยให้แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า EV ของคุณไม่ร้อนจนเกินไป เนื่องจากเมื่อจอดในที่ร่มจะช่วยลดการใช้พลังงานที่ทำให้รถเย็นลง

  1. จำกัดการชาร์จเร็ว

        รู้มั้ยว่า การชาร์จเร็วทำให้อุณหภูมิของแบตเตอรี่สูงขึ้นค่อนข้างมาก เพราะฉะนั้นในช่วงที่มีอากาศร้อน แนะนำให้หลีกเลี่ยงการชาร์จเร็วจะดีกว่า ถ้าเลี่ยงไม่ได้ แนะนำให้ชาร์จเท่าที่จำเป็น อย่าชาร์จจนเต็ม และไม่ควรชาร์จในช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของวัน

  1. ชาร์จเพียง 80%

        แนะนำให้ประคับประคองแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า EV ไว้ที่ 20% – 80% เนื่องจากเป็นระยะมาตรฐานรักษาคุณภาพแบตเตอรี่ที่ดี ยิ่งชาร์จนานแบตเตอรี่ยิ่งร้อน บวกกับวันนั้นอากาศร้อนจัด ยิ่งทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วขึ้น

        ประโยชน์ของรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่มีมากมาย และเป็นหนึ่งในตัวเลือกของคนรักษ์ธรรมชาติ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะค่าน้ำมันได้เป็นอย่างดี หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่อยากครอบครองสักคัน แต่ยังกังวลในเรื่องแบตเตอรี่ EV และความร้อนจัด

บทความ

4 เทคนิคเลี้ยวโค้งอย่างไรให้ปลอดภัย

  1. จับพวงมาลัยที่ 3 และ 9 นาฬิกาเสมอ– การจับพวงมาลัยถือเป็นมาตรฐานของการขับรถอย่างปลอดภัย ควรจับพวงมาลัยด้วยมือขวาที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา และมือซ้ายที่ 9 นาฬิกา จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมพวงมาลัยได้ดีที่สุด หลีกเลี่ยงการขับรถเข้าโค้งด้วยมือเดียวอย่างเด็ดขาด เพราะจะลดประสิทธิภาพในการควบคุมพวงมาลัยเมื่อต้องหักหลบฉุกเฉินระหว่างเข้าโค้ง
  2. ลดความเร็วก่อนเข้าโค้ง– หากขับรถมาด้วยความเร็วสูง ควรลดความเร็วก่อนเข้าโค้งเสมอ จะช่วยลดโอกาสที่รถอาจหลุดโค้ง และช่วยให้ผู้ขับขี่มีสติในการควบคุมรถมากยิ่งขึ้น อีกทั้งการลดความเร็วก่อนเข้าโค้งยังช่วยให้น้ำหนักตัวรถถ่ายเทไปที่ล้อหน้า ช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนนได้อีกทางหนึ่งด้วย ทั้งนี้ ระหว่างเข้าโค้งควรหลีกเลี่ยงการเบรกโดยไม่จำเป็น เพราะรถข้างหลังอาจเบรกไม่ทันได้ ควรประคองความเร็วอย่างคงที่ ก่อนจะเพิ่มความเร็วอีกครั้งหลังจากพ้นโค้งไปแล้ว
  3. มองไกลสุดปลายโค้ง– การเข้าโค้งสายตาควรมองที่ปลายโค้งควบคู่กันไปด้วย จะช่วยให้ผู้ขับขี่ประเมินได้ว่าจำเป็นต้องเพิ่มองศาการหมุนพวงมาลัย หรือชะลอความเร็วลงหรือไม่
  4. ประคองรถให้อยู่ในเลน– การเข้าโค้งที่ถูกต้องควรประคองรถให้อยู่ในเลนของตนเองเสมอ ไม่ตัดเลนอื่นโดยไม่จำเป็นเด็ดขาด เพราะอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ แต่หากรู้สึกว่ารถเริ่มมีอาการหลุดออกจากเลน หรือรถมีอาการโคลงมากจนเกินไป แสดงว่าคุณอาจยังลดความเร็วไม่มากพอก่อนเข้าโค้ง

       นอกเหนือจากทักษะของผู้ขับขี่แล้ว สภาพยางก็มีส่วนช่วยในการเข้าโค้งอย่างปลอดภัยเช่นกัน หากเป็นยางที่มีสภาพเก่า เนื้อยางแข็ง จะส่งผลให้การยึดเกาะถนนลดน้อยลง อาจทำให้เกิดอาการหน้าดื้อหรือท้ายปัดได้ง่าย

error: Content is protected !!