บทความ

ต่อภาษีรถใหม่ ไม่ต้องไปขนส่งฯ เปิดขั้นตอนทำได้บนมือถือ

           ต่อภาษีรถใหม่ ไม่ต้องไปขนส่งฯ เปิดขั้นตอนทำได้บนมือถือ

           กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ประกาศข่าวดีครั้งใหญ่ ปฏิวัติการชำระภาษีรถยนต์ประจำปีให้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยการเปิดให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลเต็มรูปแบบ ทั้งแอปพลิเคชันบนมือถือและตู้ Kiosk อัตโนมัติ โดยมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพิ่มความสะดวกและลดเวลาอย่างมาก

           ช่องทางต่อภาษีรถ มี 2 ช่องทาง

          สำหรับช่องทางใหม่ที่ กรมการขนส่งทางบนได้อำนวยความสะดวกแก่ เจ้าของรถสามารถเลือกใช้บริการได้ 2 ช่องทางคือ

  1. แอปพลิเคชัน “DLT Vehicle Tax Plus”

         ยกสำนักงานขนส่งมาไว้ในมือคุณ สามารถทำธุรกรรมได้ทุกที่ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชันและลงทะเบียนเพื่อใช้งาน รองรับทั้งมือถือ Android และ iOS

  1. ตู้ Kiosk อัตโนมัติ

         บริการตู้ชำระภาษีอัตโนมัติที่ติดตั้ง ณ สำนักงานขนส่งทั่วประเทศ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความรวดเร็ว และ จุดเด่นสำคัญคือสามารถพิมพ์เครื่องหมายแสดงการเสียภาษี (ป้ายวงกลม) ได้ทันที

           รถประเภทไหนใช้บริการได้บ้าง?

          บริการใหม่นี้รองรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลที่จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ดังนี้

รย.1: รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รถเก๋ง)

รย.2: รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน (รถตู้)

รย.3: รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (รถกระบะ)

รย.12: รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล

         แต่สำหรับรถที่มีอายุการใช้งานเกินกำหนด (รถยนต์เกิน 7 ปี, รถจักรยานยนต์เกิน 5 ปี) หรือรถที่ค้างชำระภาษีเกิน 1 ปี จำเป็นต้องนำรถไปตรวจสภาพกับสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) ให้เรียบร้อยก่อน จึงจะสามารถใช้บริการผ่านช่องทางใหม่นี้ได้

          ขั้นตอนการต่อภาษีรถ โดยใช้แอป DLT 

         หลังรู้เกี่ยวกับรถยนต์ที่สามารถใช้ต่อทะเบียนออนไลน์แล้วใน Application จะต้องดาวน์โหลดก่อนผ่านทาง Store ของทั้ง มือถือ Android และ iOS จะต้องมีเรื่องที่ต้องรู้ดังนี้

  1. ผู้ใช้งานครั้งแรกต้องลงทะเบียนและยืนยันตัวตนผ่านระบบ Digital ID เช่น แอปพลิเคชัน ThaID เพื่อความปลอดภัยในการทำธุรกรรม
  2. ระบุข้อมูลเกี่ยวกับรถที่ต้องการชำระภาษี
  3. สามารถเลือกชำระได้ทั้งผ่านThai QR Code หรือหักบัญชีธนาคาร
  4. รับหลักฐานการต่อทะเบียน โดยผ่านช่องทางดังนี้

              – ผ่านแอปพลิเคชัน: ระบบจะจัดส่งเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีให้ทางไปรษณีย์

              – ผ่านตู้ Kiosk: สามารถรับเครื่องหมายฯ ที่พิมพ์จากตู้ได้เลยทันที

           เรียกว่าการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ถ่อเป็นการยกระดับการให้บริการภาครัฐสู่ยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง ช่วยให้เจ้าของรถสามารถจัดการเรื่องภาษีได้อย่างสะดวกสบาย ตรวจสอบข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ และประหยัดเวลาได้อย่างมหาศาล ใครที่กำลังจะต่อภาษีรถ อย่าลืมนำวิธีนี้ไปใช้เพื่อลดเวลาด้วยนะคะ

 

บทความ

ยกก้านปัดน้ำฝน ช่วยยืดอายุใบปัด จริงไหม?

       บางท่านจำเป็นต้องจอดรถกลางแดดเป็นเวลานาน “ด้วยเกรงว่ายางใบปัดน้ำฝนจะเสื่อมสภาพจากความร้อน จึงยกขาก้านปัดน้ำฝนขึ้นขณะจอดตากแดด”

        แต่… ท่านหารู้หรือไม่ว่า  สปริงในก้านที่ปัดน้ำฝนจะอ่อน และเสียเร็วขึ้น ส่วนสำคัญที่ทำให้ที่ปัดน้ำฝนทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพประกอบด้วย ใบปัด แผ่นยาง ซึ่งทำหน้าที่รีดน้ำจากกระจกบังลมหน้า ปกติจะมีอายุการใช้งานประมาณ 1-2 ปี หากใช้นานกว่านั้นเนื้อยางจะแข็งตัวหรือมีการฉีกขาด ไม่ว่าจะยกไว้หรือไม่ก็ตาม อีกส่วนคือ ก้านใบปัด ที่มีสปริงคอยดึงให้ใบปัดแนบสนิทกับกระจก ซึ่งรับแรงจากคันโยก และมอเตอร์ ตัวนี้มีราคาสูงกว่าใบปัด การยกก้านเมื่อจอดตากแดด สปริงจะถูกดึงให้ยืดออกตลอดเวลา อายุการใช้งานสั้นลง ทำให้ต้องจ่ายแพงกว่าเดิมหลายเท่าถ้าต้องเปลี่ยนทั้งชุด

        หากจำเป็นต้องจอดรถกลางแจ้ง ไม่ต้องยกขาก้านปัดน้ำฝนขึ้น เพราะนอกจากไม่ได้ช่วยยืดอายุใบปัดแล้ว ยังทำให้สปริงในก้านที่ปัดน้ำฝนเสียเร็วขึ้น

        เพราะใบปัดน้ำฝนที่ทำจากยาง ไม่ว่าคุณภาพดี และแพงแค่ไหน ก็ต้องเสื่อมสภาพด้วยกันทั้งนั้น จะยกใบปัดขึ้น ไม่ให้ถูกกระจก หรือไม่ยกเลย อายุการใช้งานของใบปัดก็ไม่ต่างกัน เพราะใบปัดน้ำฝนจะมีอายุประมาณ 1 ปีเศษๆ ถ้าเริ่มปัดแล้วไม่เกลี้ยง รีบเปลี่ยนใหม่ได้เลย

       การยกขาก้านปัดค้างไว้นานๆ ยังส่งผลกระทบต่อสปริง ที่เหนี่ยวรั้งก้านใบปัดให้แนบชิดสนิทกับกระจกด้วย ซึ่งก้านเหล่านี้รับแรงมาจากลิงค์คันโยก และมอเตอร์ไฟฟ้า ถ้าสปริงนี้เกิดล้า นอกจากทำให้ใบปัดไม่แนบชิดกับกระจกแล้ว ถ้าต้องเปลี่ยน ยังมีราคาที่สูงกว่าใบปัดหลายเท่า

        วิธีเช็กว่ายางปัดน้ำฝนว่าเสื่อมสภาพหรือยัง ไม่ได้ดูที่เนื้อยางว่าไม่ฉีกขาดเท่านั้น ต้องดูที่ความสามารถในการกวาดหยดน้ำที่ผิวกระจกว่าเกลี้ยงหรือไม่ด้วย ถ้าเอายางปัดน้ำฝนมาดูผ่านแว่นขยาย จะเห็นว่าตรง “คม” ของมันมีลักษณะเป็นมุมฉาก แต่ละมุมทำหน้าที่กวาดน้ำทางใดทางหนึ่งโดยเฉพาะ และจะลู่เอนเล็กน้อยขณะทำงาน มุมฉากนี้จะมีรูปทรงพิเศษ ซึ่งได้จากการวิจัยทดสอบกันมาหลายสิบปี ว่ากวาดน้ำได้เกลี้ยง ไม่ส่งเสียงดัง และมีอายุใช้งานนานเพียงพอ

         สำหรับการใช้งานที่ถูกต้อง คือ ห้ามใช้งานขณะกระจกแห้งเด็ดขาด บางคนใช้ปัดฝุ่นจากกระจก ปัด 3-4 ที คมของมันก็สึกจนหมดอายุแล้ว จำไว้เลยว่า ก่อนจะปัดใบปัดน้ำฝน ต้องฉีดน้ำใส่กระจกก่อนเสมอ

บทความ

5 ข้อควรรู้! เมื่อรถชนหนัก จนต้องขายซากรถยนต์

     ต้องบอกก่อนว่าขั้นตอนการ ซื้อ-ขายซากรถยนต์ ไม่ได้แตกต่างจากการซื้อ-ขายรถมือสองแต่อย่างใด หรือพูดง่าย ๆ ว่าต้องมีการทำ “สัญญาซื้อขาย” เช่นกัน เพื่อป้องกันการสวมรวยแอบอ้างขาย นอกจากนี้ยังมีข้อควรรู้อื่น ๆ อีกมากมาย ที่คุณควรทำความเข้าใจตัดสินใจขายซาก ดังนี้

     1. ขายซากรถต้องมี “เล่มทะเบียน”
     ในกรณีที่รถยนต์จอดทิ้งไว้นาน จะเลือกซ่อมก็ไม่คุ้มค่าราคาจ่าย หากคุณต้องการ ปล่อยขายซากรถ การขายแบบมีเล่มทะเบียนจะช่วยให้ได้ราคาขายที่ดีกว่า สูงกว่าแบบไม่มีเล่ม ประกอบกับจะต้องไปตรวจสอบเรื่อง “ภาษีประจำปี” ร่วมด้วย ควรทำการแจ้งยกเลิกที่กรมขนส่งทางบกในกรณีที่ยังไม่หมดอายุ ป้องกันการถูกสวมทะเบียน

     ในส่วนนี้คุณจะต้องให้ความสำคัญมาก ๆ ทั้งเล่มทะเบียนและภาษีประจำปี เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับ “กฎหมาย” โดยตรง หากคุณรวบรัดตัดความเพื่อต้องการปล่อยขายให้เร็วที่สุด คุณอาจจะ “เข้าข่าย” กระทำความผิดด้านใดด้านหนึ่ง หรือเกิดความเสียหายตามมาในภายหลังก็เป็นได้

     2. น้ำท่วม vs อุบัติเหตุ ส่งผลต่อการประเมินราคาซากรถ
     เพราะการที่รถของคุณกลายเป็นซากรถ กรณีที่เกิดจากน้ำท่วม แน่นอนว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นย่อมน้อยกว่าการเกิดอุบัติเหตุอยู่แล้ว ส่งผลให้ราคาขาย “อาจจะ” สูงกว่า เนื่องจากคนที่รับซื้อสามารถนำไปซ่อมแซมได้ง่าย หากเทียบกับกรณีที่รถเป็นซากจากการเกิดอุบัติเหตุ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตีราคาของคนที่รับซื้อด้วย หากคุณมองว่าเป็นราคาที่สมเหตุสมผล จะตัดสินใจขายหรือไม่ขายขึ้นอยู่กับคุณแล้ว

     3. “ขายรถติดไฟแนนซ์” ขายเองไม่ได้
    สำหรับซากรถยนต์ที่ยังติดไฟแนนซ์ หรือพูดง่าย ๆ ว่ายังผ่อนไม่หมด ตามกฎหมายแล้วกรรมสิทธิ์ของรถยนต์คันนั้น ๆ จะเป็นของบริษัทไฟแนนซ์ หากจะนำไปขายโดยพลการรับรองว่ามีความผิดฐาน “ลักทรัพย์” แน่นอน และต่อให้ขายได้ แต่ตัวรถไม่สามารถโอนได้

     แนะนำให้ปิดยอดให้เรียบร้อยก่อน หรือไม่อย่างนั้นลองคำนวณดูก่อนว่า เงินจากการขายซากรถจะเพียงพอต่อการปิดยอดหรือไม่ หากไม่พออาจจะยืดการขายออกไปก่อนหรืออีกทางหนึ่งคือรีบหาเงินมาเสริมเพื่อโปะยอดให้ได้โดยเร็วที่สุด

     4. ประกันรถยนต์ vs ไม่มีประกัน “ไม่เหมือนกัน”
    สำหรับรถยนต์ที่มีประกัน หากประเมินแล้วค่าซ่อมเกิน 70% ของมูลค่ารถ คุณจะได้รับ “ทุนประกันคืน 100%” และบริษัทประกันรถยนต์จะเป็นฝ่ายนำรถไปขายเอง แต่ถ้าหากคุณต้องการเพียงแค่ “เงินประกัน” อย่างเดียว ก็สามารถทำได้เช่นกัน

     5. เอกสารที่ต้องใช้ในการขายซากรถ
     อย่างที่บอกไปในช่วงแรกแล้วว่า “การขายซากรถไม่ได้ต่างจากการขายรถมือสอง” แต่อาจจะมีขั้นตอนที่ง่ายกว่า โดยเฉพาะซากรถเก่าที่ไม่ใช้งานมานาน สามารถตกลงซื้อ-ขายได้ทันที เพียงแต่จะมี “เล่มทะเบียน” มอบให้กับคนที่รับซื้อด้วย ต่อจากนี้เหลือแต่ตกลงราคาซื้อ-ขายกันแล้วว่า ตรงตามความต้องการของทั้ง 2 ฝ่ายหรือไม่

บทความ

รถยนต์ไฟฟ้า (EV) vs รถยนต์ทั่วไป ดูแลอย่างไรให้พร้อมลุยในช่วงหน้าฝน

    หน้าฝนทีไร คนใช้รถก็แอบกังวลทุกที เพราะไม่ใช่แค่เรื่องถนนลื่นหรือทัศนวิสัยที่แย่ลงเท่านั้น แต่ยังต้องคอยระวังน้ำท่วมขัง ความชื้นสะสม รวมถึงปัญหาระบบไฟฟ้าที่อาจตามมา โดยเฉพาะรถน้ำมันและรถไฟฟ้า (EV) ที่แม้จะดูคล้ายกันในแง่ของการใช้งาน แต่ระบบภายในนั้นแตกต่างกันเป็นอย่างมาก จึงต้องการการดูแลที่แตกต่างกันช่วงหน้าฝน

    รถยนต์ทั่วไป (เครื่องยนต์สันดาป)

    – ระบบเบรกและยาง : ฝนตกทำให้เบรกทำงานช้าลง ควรตรวจสอบแผ่นเบรก ดิสก์เบรก ระดับน้ำมันเบรก และระบบเบรกโดยรวม รวมถึงเช็กสภาพและลมยางให้เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงจากการลื่นไถล

    – ใบปัดน้ำฝน : ควรตรวจสอบสภาพการใช้งานอยู่เสมอ หากมีรอยสึกหรือปัดน้ำไม่สะอาด ควรล้างทำความสะอาดหรือเปลี่ยนใหม่ โดยแนะนำให้เปลี่ยนทุก 6 เดือนเพื่อทัศนวิสัยที่ชัดเจนขณะขับขี่

    – ระบบไฟและแบตเตอรี่ : ตรวจสอบไฟหน้ารถ ไฟท้าย และไฟเบรก พร้อมทำความสะอาดเลนส์ไฟให้สว่างชัดเจน และเช็กขั้วแบตเตอรี่กับระดับน้ำกลั่น เพื่อให้ระบบไฟทำงานเต็มประสิทธิภาพ

    – การขับขี่บนถนนเปียก : ควรลดความเร็ว รักษาระยะห่างจากรถคันหน้า หลีกเลี่ยงการเบรกกะทันหันและเปลี่ยนเลนบ่อย รวมถึงควรเปิดไฟหน้ารถเพื่อเพิ่มทัศนวิสัยในช่วงฝนตก

     รถยนต์ไฟฟ้า (EV)

    – การขับขี่ในถนนเปียก : ควรเช็กระบบเบรกและยางทุกครั้งว่าสามารถใช้งานได้ปกติหรือไม่ เช่นเดียวกับรถน้ำมัน

    – ใบปัดน้ำฝน : เช็กสภาพใบปัดน้ำฝนว่ามีการเสื่อมสภาพหรือไม่ และควรเปลี่ยนใหม่ทันทีเพื่อทัศนวิสัยที่ดีในการขับขี่

    – การชาร์จไฟ : แท่นชาร์จรถ EV ออกแบบมาให้มีระบบป้องกันน้ำขังและตัดไฟรั่ว ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยแม้ฝนตก แต่ควรตรวจสอบให้หัวชาร์จแห้งและอยู่ในสภาพสมบูรณ์ก่อนใช้งาน

    – การขับขี่ขณะฝนตก : รถ EV มีระบบป้องกันไฟรั่วและลัดวงจรตามมาตรฐาน IP67 สามารถลุยน้ำลึกไม่เกิน 1 เมตรได้นาน 30 นาที แต่ควรขับอย่างระมัดระวัง และนำรถเข้าตรวจเช็กหากลุยน้ำเป็นเวลานาน

     ไม่ว่าจะรถน้ำมันหรือรถ EV ถ้าเรารู้จักดูแลอย่างถูกวิธี ก็สามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัยในทุกฤดู โดยเฉพาะหน้าฝนที่มีความเสี่ยงมากขึ้น การหมั่นตรวจสอบรถก่อนใช้งาน และใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ จะช่วยให้เราปลอดภัยทั้งตัวรถและตัวเรา

บทความ

วิธีถนอมแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้มีอายุการใช้งานยาวนานยิ่งขึ้น ลดโอกาสแบตเตอรี่เสื่อมเร็วผิดปกติ สามารถทำได้ง่ายๆ 4 วิธี ดังนี้

  1. ไม่ชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้านานเกินไป

          ในการชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้านั้นไม่จำเป็นต้องชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็ม 100%  เพราะการชาร์จแบตรถยนต์ไฟฟ้า 100% บ่อยๆ  ก็อาจส่งผลทำให้แบตเตอรี่เสื่อมได้เช่นกัน แบตเตอรี่ควรประจุไว้ที่ 20-80%

  1. ไม่ควรปล่อยให้แบตเตอรี่ต่ำจนเกินไป

         แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าไม่ควรปล่อยให้ต่ำกว่า 20% หรือปล่อยทิ้งไว้ให้แบตใกล้หมดแล้วถึงจะชาร์จ ซึ่งการทำแบบนี้จะส่งผลให้คุณภาพของแบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้น หรือทำให้มีอายุการใช้งานน้อยลง อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าระบบแบตเตอรี่นั้นควรจะอยู่ที่ระดับ 20% ไม่ควรต่ำกว่านี้

  1. ไม่ควรจอดรถยนต์ EV ไว้กลางแจ้งเป็นเวลานานๆ

         ความร้อนจากแดดนั้นก็สามารถสร้างความเสียหายให้กับแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าได้เช่นกัน เพราะการจอดในที่โล่งแจ้งจะทำให้รถนั้นได้รับความร้อนจากแดดโดยตรง เมื่อเจอความร้อนนานๆ อาจส่งผลให้เซลล์เสียหายและทำให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่สั้นลง และยังส่งผลให้ความจุมีการสูญเสียอย่างกระทันหันได้ด้วยเช่นกัน

  1. ไม่ควรชาร์จแบตรถแบบเร็วบ่อยๆ

         การชาร์จแบบเร็วในที่นี้คือการชาร์จแบบ DC แน่นอนว่าการชาร์จแบบ DC มีข้อดีคือทำให้ชาร์จไฟได้รวดเร็ว แต่รู้ไหมว่าการชาร์จแบบเร็ว จะใช้กระแสไฟที่สูงหรือจะนวนมากๆ ในเวลาอันรวดเร็วซึ่งส่งผลต่อแบตเตอรี่เนื่องจากในระหว่างการชาร์จ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในเคมีภายในแบตเตอรี่ ทำให้แบตมีอุณหภูมิที่สูงหรือมีความร้อนสะสม สร้างความเครียดให้กับแบตเตอรี่รถ EV ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แบตมีอายุการใช้งานที่สั้นลงด้วยเช่นกัน

         หากปฏิบัติตามข้อแนะนำข้างต้นได้เป็นประจำแล้วล่ะก็ รับรองว่าแบตเตอรี่ก็จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ไม่เสื่อมไวอย่างแน่นอน 

บทความ

อัพเดทกฎหมายเมาแล้วขับ ปี 2568 มีโทษอย่างไร?

        วันนี้เรามาอัพเดทกฎหมาย เมาแล้วขับ ปี 2568 กันหน่อย ว่าบทลงโทษมีอะไรบ้าง เพื่อตั้งสติก่อนออกไปดื่ม และลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับตนเอง และผู้อื่น

         ดื่มแค่ไหนถึงเรียกว่า เมาแล้วขับ 

         ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ 

        – หากปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะถือว่าเป็นผู้เมาเเล้วขับ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกพักใช้ใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน

         ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ 

       – สำหรับผู้ขับขี่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี หรือมีใบอนุญาตขับรถชั่วคราว ห้ามมีปริมาณแอลกอฮอลในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ โดยจะถือว่าเป็นผู้เมาสุรา

         ไม่ยอมเป่าวัดแอลกอฮอล์

        การปฏิเสธการเป่าวัดแอลกอฮอล์ ถือว่าเป็นการยอมรับว่าเมาแล้วขับ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับตั้งแต่ 10,000-20,000 บาท ระงับใบขับขี่ไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ศาลสามารถสั่งพักใบขับขี่ และเพิกถอนใบอนุญาตขับรถได้

         โทษเมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ-เสียชีวิต

         เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ

        จำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี ปรับ 20,000-100,000 บาท และถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับรถไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ

         เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส

        จำคุกตั้งแต่ 2-6 ปี ปรับ 40,000-120,000 บาท ระงับใบอนุญาตขับรถไม่น้อยกว่า 2 ปี

         เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

        จำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี ปรับตั้งแต่ 60,000-200,000 บาท และเพิกถอนใบอนุญาตขับรถทันที

        ทางที่ดีเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง และเพื่อนร่วมทาง หากจำเป็นต้องไปดื่มจริงๆ ให้กลับแท็กซี่ หรือให้เพื่อน (ที่ไม่ดื่ม) ขับรถแทน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้มากขึ้น

บทความ

ประกันรถยนต์ชั้น 1 ซ่อมห้าง ( ซ่อมศูนย์ ) กับซ่อมอู่แตกต่างกันอย่างไร?

           ประกันรถยนต์ชั้น 1 ซ่อมห้าง

          ประกันรถยนต์ชั้น 1 ซ่อมห้าง  หรือ ซ่อมศูนย์ นั้น คือการซ่อมที่ศูนย์รถยนต์ของยี่ห้อที่รถมา ซึ่งปกติก็จะเป็นศูนย์ที่เราออกรถนั่นเอง ข้อดีของการซ่อมห้าง หากรถคุณเป็นรถรุ่นใหม่ๆ ซ่อมห้าง จะมีอะไหล่ใหม่รับรองให้คุณมากกว่า ขระที่ซ่อมอู่ อาจจะหาอะไหล่ไม่ได้ และต้องรอสั่ง โดยอะไหล่ที่ได้ จะเป็นของแท้แน่นอน อุ่นใจ เพราะสั่งตรงจากโรงงานรถยนต์ของยี่ห้อของคุณและหากรถคุณมีปัญหาเฉพาะภายในเครื่องยนต์ อู่ศูนย์จะเชื่อใจได้มาก เพราะจะมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะประจำอยู่ งานส่วนมากจะเนี้ยบ ได้มาตรฐาน

           ข้อเสียของการซ่อมห้าง

          ราคาที่จ่ายจะแพงกว่าซ่อมอู่ และอาจค่าเสียส่วนต่างเพิ่มด้วย พร้อมกับระยะเวลานานกว่ามาก ตั้งแต่การรอคิวที่นานมาก และการซ่อมก็ใช้เวลานานกว่าและบางจังหวัด บางสถานที่ ก็ไม่มีศูนย์บริการ จึงอาจมีปัญหาที่การเข้าถึงได้นั้นเอง…

            ประกันรถยนต์ชั้น 1 ซ่อมอู่ คืออะไร

            ประกันรถยนต์ชั้น 1 ซ่อมอู่ คือการนำรถไปเข้าอู่ซ่อมรถทั่วไปตามปกตินั่นเอง ซึ่งจะแยกเป็น 2 ประเภท คือ อู่ในเครือบริษัทประกันรถยนต์ กับ อู่นอกเครือบริษัทประกันรถยนต์

            อู่ของเครือบริษัทประกันรถยนต์ – อู่ที่ผ่านการรองรับมตราฐานจากบริษัทประกันที่ทำไว้ ในกรณีที่นำรถไปเคลมประกันหรือไปซ่อมที่อู่ จะสามารถนำรถเข้าซ่อมได้เลย และเมื่อซ่อมเสร็จก็นำออกมาใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเงินหรือสำรองจ่ายออกไปก่อน

            อู่ที่ไม่อยู่ในเครือบริษัทประกันรถยนต์ – อู่ที่ไม่ได้อยู่ในการรับรองของบริษัทประกันรถที่เราทำไว้ เช่น อู่ซ่อมรถใกล้บ้าน หรืออู่ที่เรารู้จัก ทำให้ต้องสำรองเงินจ่ายไปก่อน จากนั้นจึงค่อยนำใบเสร็จไปเบิกกับบริษัทประกันรถยนต์ในภายหลัง

             ข้อดี

             ค่าเบี้ยประกันที่จะต้องจ่ายนั้นถูกกว่าซ่อมห้าง มีตัวเลือกที่เข้าซ่อมมากกว่าสามารถเลือกซ่อมใกล้บ้านหรือที่เราสะดวกได้เลย ซึ่งนั่นก็หมายถึงราคาค่าใช้จ่ายในการซ่อมที่ต่ำกว่าและสามารถต่อรองได้ และใช้ระยะเวลาซ่อมไม่นานอีกด้วย

            ข้อเสีย

            โดยมากที่มักพบปัญหาคืออะไหล่ที่ใช้ในการซ่อม บางครั้งอาจไม่ใช่อะไหล่แท้ หรืออาจจะนำอะไหล่เก่ามาเปลี่ยนให้รถเราซึ่งเมื่อเกิดปัญหาหลังซ่อม บางอู่อาจจะไม่รับผิดชอบงานซ่อมบางครั้งอาจจะไม่ประณีตเรียบร้อยเท่าซ่อมห้างรวมถึง   อาจจะโดนโกงเรื่องค่าอะไหล่ ค่าแรง ได้ง่าย

บทความ

เคล็ดลับ ป้องกันการปวดหลังจากการขับรถ

       เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณต้องเดินทางไกล การขับรถนานๆ มักเกิดอาการปวดหลังนั่นไม่ใช่เรื่องแปลก ยิ่งถ้าเป็นช่วงเวลาที่การจราจรติดขัดด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ต้องนั่งเกร็งอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าหากปวดบ่อยๆ ขับนิดๆ หน่อยก็เริ่มปวดแล้ว จนเริ่มมีความกังวลว่าอาการปวดหลังเริ่มจะเรื้อรังแล้วหรือไม่? ก่อนจะสายเกินไปมาดู 5 เคล็ดลับที่จะช่วยป้องกันอาการปวดหลัง ด้วยวิธีปรับท่าทางในการนั่งขับรถ ดังต่อไปนี้

  1. ปรับเบาะให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง

      หากคุณไม่ได้เป็นคนใช้รถคนเดียวในบ้าน และมีสมาชิกคนอื่นๆ ใช้รถคันเดียวกับคุณ ดังนั้นสิ่งแรกที่ควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนขับรถออกไป ก็คือการปรับเบาะที่นั่งให้ถูกต้อง เช่น มุมองศาพนักพิงควรอยู่ประมาณ 110-130 องศา เพื่อป้องกันไม่ให้หลังทรุดหรือเอื้อมไปข้างหน้ามากเกินไป ซึ่งการนั่งในตำแหน่งที่ถูกต้องจะช่วยป้องกันการบาดเจ็บที่หลังได้มากถึง 50% 

  1. ขยับเบาะไปด้านหน้าเล็กน้อย

      การเลื่อนเบาะไปข้างหน้าเล็กน้อยทำให้คุณอยู่ใกล้กับพวงมาลัยมากขึ้น ไม่ทำให้หลังค่อมและไม่ต้องเอื้อมไปเหยียบคันเร่งแรงๆ อีกด้วย และท่าที่ดีที่สุดก็คือการที่เข่าของคุณไม่สูงไปกว่าสะโพก 

  1. ปรับตำแหน่งพวงมาลัย

      นอกจากการปรับตำแหน่งเบาะนั่งให้ถูกต้องแล้ว คุณจะต้องปรับตำแหน่งของพวงมาลัยเพื่อป้องกันอาการปวดหลังด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งจากการวิจัยพบว่า ควรวางมือไว้ที่ตำแหน่ง 9 นาฬิกา และ 3 นาฬิกา วิธีนี้จะช่วยให้คุณวางศอกบนที่วางแขนได้  ช่วยให้บรรเทาอาการปวดบริเวณหลังส่วนบนได้

  1. ยืดกล้ามเนื้อบ่อยๆ

      การนั่งเป็นเวลานานๆ อาจทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการชาได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้กล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่อง ในขณะที่รอรถติดไฟแดง ควรยืดกล้ามเนื้อบ่อยๆ เพื่อผ่อนคลาย จะทำให้คุณขับรถได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น 

  1. เตรียมถุงน้ำแข็ง / ถุงร้อน ไว้ในรถ

      หากคุณมีแพลนที่จะเดินทางไกลควรเตรียมถุงน้ำแข็งหรือถุงร้อนไว้ในรถเสมอ หากมีอาการบาดเจ็บเฉียบพลันให้ใช้ถุงน้ำแข็ง แต่ถ้ามีอาการบาดเจ็บเรื้อรังให้ใช้ถุงร้อน แต่ก็ไม่ได้มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัวดังนั้นคุณสามารถเลือกใช้ทั้ง 2 ประเภทได้ตามใจชอบ โดยการนำเอาไว้บริเวณด้านหลังบนเบาะ ถุงเหล่านี้จะช่วยคลายกล้ามเนื้อและลดความครียดที่หลังได้ สำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ จะมีฟังก์ชั่นเบาะร้อน/เย็น ที่สั่งการง่ายๆ เพียงกดปุ่มเดียว ซึ่งสามารถใช้ได้เช่นเดียวกัน 

 

บทความ

เทคนิคการปรับกระจกมองข้าง

     การปรับมุมมองกระจกมองข้างที่ดี จะช่วยเพิ่มทัศนวิสัยด้านหลังให้ชัดเจนและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น แล้วการปรับกระจกมองข้างที่ถูกต้องควรทำอย่างไร?

     การปรับกระจกมองข้างที่ถูกต้อง ไม่เพียงแต่ช่วยให้มองรถด้านหลังได้อย่างชัดเจนขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการเกิดมุมอับสายตา (Blind Spot) ได้ ทำให้การเปลี่ยนเลนทำได้อย่างปลอดภัย สามารถมองเห็นรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ที่อยู่เยื้องไปทางด้านหลังได้ดีกว่า

     การปรับกระจกมองข้างทำได้ง่ายๆ ดังนี้

1.ปรับตำแหน่งเบาะนั่งให้เหมาะสมที่สุด และนั่งในท่านั่งที่สบาย ตำแหน่งศีรษะพิงกับพนักพิง

2.ปรับกระจกใน แนวนอน ให้เห็นตัวรถประมาณ 1 ใน 8 ของมุมมองทั้งหมด

3.ปรับกระจกใน แนวตั้ง ให้ขอบถนนสูงประมาณ 1 ใน 4 ของมุมมองทั้งหมด

     มุมที่ได้จากการปรับกระจกในลักษณะนี้ จะช่วยให้มองเห็นส่วนท้ายของตัวรถได้ ทำให้สามารถกะระยะห่างระหว่างตัวรถได้ง่ายขึ้น ขณะที่ความสูงยังพอเหมาะพอที่จะเห็นพื้นถนนไปพร้อมๆ กับรถที่มีความสูงมากเป็นพิเศษ เช่น รถบรรทุก, รถบัส ฯลฯ

บทความ

ประมาทร่วมคืออะไร?

       ในความเป็นจริงแล้ว “ประมาทร่วม” นั้นเป็นคำที่นำมาเรียกใช้กันเองในกรณีที่ต่างฝ่ายต่างประมาท ซึ่งในทางกฎหมาย การประมาทร่วม จะหมายถึง “ต่างฝ่ายต่างประมาทไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน” โดยสามารถตีความได้หลายนัยยะ ต้องดูว่าใครประมาทมากหรือน้อยกว่ากัน หรือถ้าให้พูดอย่างง่ายก็คือสามารถตีความได้ว่าผิดกันทั้งคู่ แต่ในแง่การรับผิดชอบก็จะขึ้นอยู่กับความเสียหายที่เกิดขึ้นอีกที

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ เช่น นาย ก. ขับรถฝ่าไฟแดงมา แล้วชนเข้ากับ นาย ค. ที่ขับรถด้วยความเร็วเกินกฎหมายกำหนด ซึ่งในกรณีแบบนี้เจ้าหน้าที่จะตัดสินให้ว่าเป็นคดีรถชน ประมาทร่วม ต้องชดเชยค่าเสียหายให้กันตามความเหมาะสม

ประมาทร่วมแบบนี้ ใครเป็นผู้รับผิดชอบ?

        กรณีหากเกิดการชนจากการประมาทร่วมแบบนี้ มักจะจบกันที่แยกย้ายต่างฝ่ายต่างไปซ่อมรถของตัวเอง ซึ่งถ้าหากใครทำประกันรถยนต์เอาไว้ถือว่าเป็นโชคดี เพราะไม่ต้องควักเงินมาจ่ายค่าซ่อมรถเอง

error: Content is protected !!