รถยนต์ไฟฟ้า (EV) vs รถยนต์ทั่วไป ดูแลอย่างไรให้พร้อมลุยในช่วงหน้าฝน

    หน้าฝนทีไร คนใช้รถก็แอบกังวลทุกที เพราะไม่ใช่แค่เรื่องถนนลื่นหรือทัศนวิสัยที่แย่ลงเท่านั้น แต่ยังต้องคอยระวังน้ำท่วมขัง ความชื้นสะสม รวมถึงปัญหาระบบไฟฟ้าที่อาจตามมา โดยเฉพาะรถน้ำมันและรถไฟฟ้า (EV) ที่แม้จะดูคล้ายกันในแง่ของการใช้งาน แต่ระบบภายในนั้นแตกต่างกันเป็นอย่างมาก จึงต้องการการดูแลที่แตกต่างกันช่วงหน้าฝน

    รถยนต์ทั่วไป (เครื่องยนต์สันดาป)

    – ระบบเบรกและยาง : ฝนตกทำให้เบรกทำงานช้าลง ควรตรวจสอบแผ่นเบรก ดิสก์เบรก ระดับน้ำมันเบรก และระบบเบรกโดยรวม รวมถึงเช็กสภาพและลมยางให้เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงจากการลื่นไถล

    – ใบปัดน้ำฝน : ควรตรวจสอบสภาพการใช้งานอยู่เสมอ หากมีรอยสึกหรือปัดน้ำไม่สะอาด ควรล้างทำความสะอาดหรือเปลี่ยนใหม่ โดยแนะนำให้เปลี่ยนทุก 6 เดือนเพื่อทัศนวิสัยที่ชัดเจนขณะขับขี่

    – ระบบไฟและแบตเตอรี่ : ตรวจสอบไฟหน้ารถ ไฟท้าย และไฟเบรก พร้อมทำความสะอาดเลนส์ไฟให้สว่างชัดเจน และเช็กขั้วแบตเตอรี่กับระดับน้ำกลั่น เพื่อให้ระบบไฟทำงานเต็มประสิทธิภาพ

    – การขับขี่บนถนนเปียก : ควรลดความเร็ว รักษาระยะห่างจากรถคันหน้า หลีกเลี่ยงการเบรกกะทันหันและเปลี่ยนเลนบ่อย รวมถึงควรเปิดไฟหน้ารถเพื่อเพิ่มทัศนวิสัยในช่วงฝนตก

     รถยนต์ไฟฟ้า (EV)

    – การขับขี่ในถนนเปียก : ควรเช็กระบบเบรกและยางทุกครั้งว่าสามารถใช้งานได้ปกติหรือไม่ เช่นเดียวกับรถน้ำมัน

    – ใบปัดน้ำฝน : เช็กสภาพใบปัดน้ำฝนว่ามีการเสื่อมสภาพหรือไม่ และควรเปลี่ยนใหม่ทันทีเพื่อทัศนวิสัยที่ดีในการขับขี่

    – การชาร์จไฟ : แท่นชาร์จรถ EV ออกแบบมาให้มีระบบป้องกันน้ำขังและตัดไฟรั่ว ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยแม้ฝนตก แต่ควรตรวจสอบให้หัวชาร์จแห้งและอยู่ในสภาพสมบูรณ์ก่อนใช้งาน

    – การขับขี่ขณะฝนตก : รถ EV มีระบบป้องกันไฟรั่วและลัดวงจรตามมาตรฐาน IP67 สามารถลุยน้ำลึกไม่เกิน 1 เมตรได้นาน 30 นาที แต่ควรขับอย่างระมัดระวัง และนำรถเข้าตรวจเช็กหากลุยน้ำเป็นเวลานาน

     ไม่ว่าจะรถน้ำมันหรือรถ EV ถ้าเรารู้จักดูแลอย่างถูกวิธี ก็สามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัยในทุกฤดู โดยเฉพาะหน้าฝนที่มีความเสี่ยงมากขึ้น การหมั่นตรวจสอบรถก่อนใช้งาน และใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ จะช่วยให้เราปลอดภัยทั้งตัวรถและตัวเรา

error: Content is protected !!