บทความ

เกิดภัยธรรมชาติแบบไหน ที่ประกันภัยรถยนต์คุ้มครอง

      ในประเทศไทยมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นตามฤดูกาล ที่สร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินจนกลายเป็นภัยพิบัติ อาทิ อุทกภัย วาตภัย ดินโคลนถล่ม แผ่นดินไหว ภัยแล้ง  และไฟป่า เป็นต้น แล้วภัยธรรมชาติแบบไหนบ้างที่บริษัทประกันภัยรถยนต์จะทำหน้าที่คุ้มครองผู้ขับขี่และรถยนต์ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงบ้าง

     1.อุทกภัย ทุกปีจะเกิดฝนตกน้ำท่วม รถยนต์จมน้ำจำนวนมาก เสียหายน้อยจนถึงหนัก หากทำประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ถือเป็นประกันรถยนต์ที่มีความคุ้มครองมากที่สุด และประกันชั้น 2+ ของบางแห่งก็คุ้มครองด้วยเช่นกัน เคลมความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมถึงค่ารักษาพยาบาล ประกันอุบัติเหตุ  

    2.วาตภัย ลมพายุที่หอบทั้งลมฝน ลูกเห็บ ความแรงของพายุสามารถถอนโค่นต้นไม้ใหญ่ได้ ยังทำให้ตัวบ้านพังเสียหายในพริบตา ส่วนรถยนต์ที่เสียหายก็จะได้รับการคุ้มครองจากประกันชั้น 1 และประกันรถยนต์ชั้น 2+ รวมถึงค่ารักษาพยาบาล ประกันอุบัติเหตุ และประกันตัวผู้ขับขี่

   3.แผ่นดินไหว เป็นภัยธรรมชาติที่ไม่สามารถพยากรณ์ได้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ยังมีอาฟเตอร์ช็อกตามมา ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในภาคเหนือ เพราะมีรอยเลื่อนที่ยังมีพลังหลายจุดพร้อมจะเขย่าแผ่นดินได้เสมอ ระดับความสั่นสะเทือนมีสร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน กรณีรถยนต์ประสบเหตุแผ่นดินไหว ทำประกันชั้น 1 และประกันรถยนต์ชั้น 2+ จะได้รับการดูแลทั้งชีวิตและทรัพย์สินตามที่ระบุในกรมธรรม์ทุกประการ

   4.ดินโคลนถล่ม ทั้งก้อนหินดินโคลนที่ไหลหรือร่วงหล่นลงมาจากที่สูง เป็นอันตรายต่อการขับขี่บนท้องถนน หากรถเสียหายจากดินโคลนถล่ม ทำประกันรถยนต์ชั้น 1 อุ่นใจกว่า ครอบคลุมความคุ้มครองเรื่องดินโคลนถล่มแน่นอน

   5.อัคคีภัย ไฟป่าที่เกิดจากความแห้งแล้งธรรมชาติ กิ่งไม้เสียดสีกัน หรือฟ้าผ่าลงใส่ทำให้เกิดไฟไหม้ เมื่อรถยนต์คันโปรดต้องประสบเหตุภัย ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ก็ตามมาคุ้มครองให้ บางบริษัทประกันภัยยังมีประกันชั้น 2 และ 2+ ครอบคลุมไฟไหม้ด้วยเช่นกัน ลดความเสียหายที่เกิดขึ้นตามเงื่อนไข

   6.อุกกาบาต หรือเศษซากกระสวยอวกาศจากนอกโลกตกใส่รถยนต์ ถือเป็นเรื่องที่เกิดจากภัยธรรมชาติ แม้โอกาสเกิดขึ้นเกือบเป็นศูนย์ แต่ประกันชั้น 1 ก็ครอบคลุมไปถึง รับรองเคลมให้

     สรุปแล้ว ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 จะให้ความคุ้มครองอย่างครบถ้วน ทั้งความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งร่างกาย ชีวิต และทรัพย์สินของเราและของคู่กรณี ขณะที่การทำประกันภัยรถยนต์ ชั้น 2+ ถือว่ามีความคุ้มครองที่ค่อนข้างสูงเช่นกัน แต่จำกัดโดยทุนประกันและมีเงื่อนไข ขอให้ศึกษารายละเอียดจากบริษัททำประกันภัยอีกครั้ง

      กรณีที่บริษัทประกันภัยไม่สามารถปฏิบัติตามกรมธรรม์ที่ทำกันไว้ ต้องพิจารณาอย่างละเอียดหากพบข้อสงสัย เช่น  พบว่ามีความประมาทเลินเล่อ เจตนาหรือจงใจไม่หลบเลี่ยงภัยพิบัติต่าง ๆ ทั้งที่รู้ว่าเกิดขึ้นและเผชิญหน้า เช่น พยายามขับรถยนต์ฝ่าเข้าพื้นที่น้ำท่วมสูง ดินโคลนถล่ม แผ่นดินแยกที่เกิดจากแผ่นดินไหว ต้นไม้ล้มขวาง รวมถึงการจัดฉากความเสียหายจากภัยพิบัติจริงแล้วแจ้งเหตุที่เป็นเท็จ เพื่อหวังเคลมประกัน

      กรณีคนขับขี่นำรถยนต์ของผู้อื่นที่ทำประกันมาขับขี่โดยไม่มีใบขับขี่ หรือเมาสุรา เสพยาเสพติดขณะขับขี่ หรือนำรถไปก่อคดีต่าง ๆ และประสบเหตุภัยพิบัติ เมื่อตรวจสอบพบจะถูกบริษัทประกันแจ้งดำเนินคดีอาญาในข้อหาให้ความเท็จเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากประกันวินาศภัย เป็นต้น

    ดังนั้น รถยนต์ของเราอาจจะเป็นคันหนึ่งที่ประสบภัยภัยพิบัติโดยคาดไม่ถึง การเลือกทำประกันรถยนต์ที่คุ้มครองเหตุภัยพิบัติธรรมชาติไว้ด้วยถือเป็นทางเลือกที่ดี มีความสบายใจ เกิดความคุ้มค่า ช่วยคุ้มครองความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินตลอด 24 ชั่วโมง

บทความ

แนะนำวิธีการวางแผนการเดินทางด้วยรถยนต์ไฟฟ้า

      การวางแผนการเดินทางด้วยรถยนต์ไฟฟ้าเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำในการวางแผนการเดินทางด้วยรถยนต์ไฟฟ้า

     1.ตรวจสอบระยะทางวิ่งสูงสุดของรถยนต์ไฟฟ้า
       ระยะทางวิ่งสูงสุดของรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละรุ่นแตกต่างกันไป ผู้ใช้ควรตรวจสอบระยะทางวิ่งสูงสุดของรถยนต์ไฟฟ้าของตนก่อนวางแผนการเดินทาง เพื่อให้แน่ใจว่ามีระยะทางเพียงพอที่จะเดินทางถึงจุดหมายปลายทาง

      2.ค้นหาสถานีชาร์จตลอดเส้นทาง
      ควรค้นหาสถานีชาร์จตลอดเส้นทางการเดินทาง สามารถใช้แอปพลิเคชันค้นหาสถานีชาร์จ เช่น PlugShare หรือ saifah เพื่อค้นหาสถานีชาร์จที่ใกล้เคียงและข้อมูลเกี่ยวกับประเภทหัวชาร์จ สถานะการใช้งาน และราคา

     3.วางแผนเส้นทาง
      ผู้ใช้สามารถวางแผนเส้นทางโดยระบุจุดเริ่มต้นและจุดหมายปลายทางในแอปพลิเคชันค้นหาสถานีชาร์จ แอปพลิเคชันจะแสดงเส้นทางพร้อมจุดชาร์จที่แนะนำตามระยะทางและกำลังไฟที่ต้องการ

     4.เผื่อเวลาในการชาร์จ
      ผู้ใช้ควรเผื่อเวลาในการชาร์จให้เพียงพอ โดยทั่วไปแล้ว การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจากระดับต่ำสุดถึงเต็มจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที ถึง 4 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับประเภทของหัวชาร์จและกำลังไฟของสถานีชาร์จ

     5.คำนึงถึงสภาพอากาศ
      สภาพอากาศอาจส่งผลต่อระยะทางวิ่งของรถยนต์ไฟฟ้า ตัวอย่างเช่น รถยนต์ไฟฟ้าจะวิ่งได้ระยะทางน้อยกว่าในสภาพอากาศที่หนาวเย็น

     6.ตรวจสอบสภาพรถ
      ก่อนออกเดินทาง ผู้ใช้ควรตรวจสอบสภาพรถให้พร้อมใช้งาน เช่น ตรวจสอบระดับแบตเตอรี่ เติมลมยาง และตรวจสอบระบบชาร์จ

📍นัดหมาย ติดต่อนำรถเข้าศูนย์บริการ ติดต่อได้ที่  ☎️ 099-310-8265

บทความ

รถยนต์ไฟฟ้าทำงานอย่างไร

        ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้า เพิ่มขึ้นอย่างมาก รถยนต์ไฟฟ้ากำลังเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมยานยนต์ด้วยการทำงานอย่างมีสิ่งอำนวยความสะดวกและมีประสิทธิภาพ แต่คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่ารถยนต์ไฟฟ้าทำงานอย่างไร? ในบทความนี้เราจะพิจารณาถึงองค์ประกอบหลักและหลักการทำงานของรถยนต์ไฟฟ้าเหล่านี้มีองค์ประกอบอะไรที่แตกต่างไปจากรถน้ำมันบ้าง

องค์ประกอบหลักของรถยนต์ไฟฟ้า

แบตเตอรี่ (all-electric auxiliary)

      รถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดถูกขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ แบตเตอรี่นี้เก็บพลังงานไฟฟ้าที่ใช้เพื่อขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีแบตเตอรี่เสริมที่ให้พลังงานไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ภายในของยานพาหนะ เช่น ไฟส่องสว่างและเครื่องปรับอากาศ

ช่องเสียบปลั๊กชาร์จ (charge port)

     เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดมีช่องเสียบปลั๊กชาร์จ ช่องเสียบนี้ช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้า เชื่อมต่อกับแหล่งจ่ายพลังงานภายนอก เช่น ปลั๊กไฟหรืออุปกรณ์ชาร์จ เพื่อเติมพลังงานให้แบตเตอรี่

เครื่องแปลงไฟฟ้า DC/DC (DC/DC converter)

     เครื่องแปลงไฟฟ้า DC/DC เป็นองค์ประกอบสำคัญในรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด มันแปลงพลังงานไฟฟ้า DC แรงดันสูงจากแบตเตอรี่แพคเป็นพลังงานไฟฟ้า DC แรงดันต่ำ เพื่อใช้เป็นพลังงานในการทำงานของอุปกรณ์ภายในยานพาหนะและเติมพลังงานให้แบตเตอรี่เสริม

มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อน (Electric Traction Motor)

     มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนเป็นหัวใจของรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด มันใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เพื่อขับเคลื่อนล้อรถยนต์ไปข้างหน้า บางรถยนต์ไฟฟ้าใช้เครื่องกำเนิดมอเตอร์ที่ทำทั้งหน้าที่ขับเคลื่อนและ ชาร์จพลังงานในระหว่างการเบรกหรือชะลอรถยนต์ไฟฟ้า

ชาร์จภายในรถยนต์ (Onboard Charger)

    ชาร์จภายในรถยนต์มีหน้าที่แปลงกระแสไฟฟ้าระบบกระแสสลับ AC ที่เข้ามาผ่านช่องเสียบปลั๊กชาร์จเป็นพลังงานไฟฟ้า DC เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ นอกจากนี้ยังมีการสื่อสารกับอุปกรณ์ชาร์จและตรวจสอบลักษณะของแบตเตอรี่เช่นแรงดัน กระแส อุณหภูมิ และสถานะการชาร์จขณะที่แบตเตอรี่กำลังถูกชาร์จ

ตัวควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (Power Electronics Controller)

     ตัวควบคุมอิเล็กทรอนิกส์จัดการกระแสพลังงานไฟฟ้าที่ส่งมาจากแบตเตอรี่ ควบคุมความเร็วของมอเตอร์ไฟฟ้าและแรงบิด ช่วยให้การเร่งเครื่องและการเบรกทำงานได้อย่างถูกต้อง

ระบบควบคุมอุณหภูมิ (ระบายความร้อน)

     เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้ามีความต้องการพลังงานสูง ระบบควบคุมอุณหภูมิเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาอุณหภูมิการทำงานที่เหมาะสมของเครื่องยนต์ มอเตอร์ไฟฟ้า ตัวควบคุมอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอื่น ๆ ระบบนี้ใช้รักษาอุณหภูมิที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและการทำงานที่เสถียร

แบตเตอรี่แพค (Traction Battery Pack)

    แบตเตอรี่แพคเป็นแหล่งพลังงานหลักสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด เขาเก็บพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าของยานพาหนะ ความจุและเทคโนโลยีของแบตเตอรี่มีผลต่อระยะทางและประสิทธิภาพของรถยนต์

เกียร์ (Transmission) (ไฟฟ้า)

    เกียร์ถ่ายทอดพลังงานกลไปยังล้อของยานพาหนะ ในรถยนต์ไฟฟ้า เกียร์ไฟฟ้าถ่ายทอดพลังงานไฟฟ้าจากมอเตอร์ไฟฟ้าไปยังล้อ

สรุป

รถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดมีโครงสร้างและส่วนประกอบที่ซับซ้อน เพื่อให้มันสามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การทำงานของรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มต้นด้วยการเติมพลังงานที่แบตเตอรี่เก็บไว้ผ่านช่องเสียบปลั๊กชาร์จ และมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อของรถ เครื่องแปลงไฟฟ้า ชาร์จภายในรถยนต์ และอุปกรณ์อื่น ๆ ในระบบช่วยให้มันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเสถียร

เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้ากำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว และเราสามารถคาดหวังได้ว่าในอนาคตจะมีการพัฒนาและเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ขับขี่ที่ใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน

📍นัดหมาย ติดต่อนำรถเข้าศูนย์บริการ ติดต่อได้ที่  ☎️ 099-310-8265

บทความ

ค่าใช้จ่ายในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า

     รถยนต์ไฟฟ้าเป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแทนที่จะเป็นเครื่องยนต์สันดาปภายใน รถยนต์ไฟฟ้ามีข้อดีหลายประการ เช่น ปล่อยมลพิษน้อยลง ประหยัดน้ำมัน และเงียบกว่ารถยนต์ทั่วไป อย่างไรก็ตาม รถยนต์ไฟฟ้ายังมีข้อเสียบางประการ เช่น ราคาแพงกว่ารถยนต์ทั่วไป ระยะทางขับขี่จำกัด และใช้เวลาในการชาร์จนาน
     ค่าใช้จ่ายในการใช้รถยนต์ไฟฟ้านั้นต่ำกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงหลายประการ ได้แก่

ค่าเชื้อเพลิง

     รถยนต์ไฟฟ้าใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน ซึ่งราคาถูกกว่าน้ำมันเชื้อเพลิงมาก โดยเฉลี่ยแล้วรถยนต์ไฟฟ้าใช้พลังงานไฟฟ้าเพียง 10-12 บาทต่อกิโลเมตร เทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งใช้น้ำมันประมาณ 25-30 บาทต่อกิโลเมตร
 

ค่าบำรุงรักษา

     รถยนต์ไฟฟ้ามีชิ้นส่วนที่น้อยลงกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้นจึงมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่ต่ำกว่ามาก โดยเฉลี่ยแล้วรถยนต์ไฟฟ้ามีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเพียง 10,000 บาทต่อปี เทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาประมาณ 20,000 บาทต่อปี
ค่าภาษี 

     รถยนต์ไฟฟ้าได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีหลายประการ เช่น ยกเว้นภาษีสรรพสามิต ค่าธรรมเนียมจดทะเบียน และค่าธรรมเนียมการขออนุญาตขับขี่  อย่างไรก็ตาม รถยนต์ไฟฟ้ายังมีค่าใช้จ่ายบางประการที่สูงกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ได้แก่

ราคา

     รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาแพงกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง โดยเฉลี่ยแล้วรถยนต์ไฟฟ้ามีราคาประมาณ 1 ล้านบาท เทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งมีราคาประมาณ 5 แสนบาท


ค่าใช้จ่ายในการชาร์จ 

    รถยนต์ไฟฟ้าสามารถชาร์จไฟได้ที่บ้านหรือที่สถานีชาร์จสาธารณะ โดยค่าชาร์จไฟที่บ้านจะขึ้นอยู่กับอัตราค่าไฟฟ้า ส่วนค่าชาร์จไฟที่สถานีชาร์จสาธารณะจะขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการสถานีชาร์จ


ระยะเวลาในการชาร์จ

     ระยะเวลาในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่ โดยรถยนต์ไฟฟ้าที่มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่จะใช้เวลาในการชาร์จนานกว่ารถยนต์ไฟฟ้าที่มีแบตเตอรี่ขนาดเล็ก


    โดยรวมแล้ว ค่าใช้จ่ายในการใช้รถยนต์ไฟฟ้านั้นต่ำกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในระยะยาว อย่างไรก็ตาม รถยนต์ไฟฟ้ายังมีราคาที่แพงกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้นจึงควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า

📍นัดหมาย ติดต่อนำรถเข้าศูนย์บริการ ติดต่อได้ที่  ☎️ 099-310-8265

บทความ

กล้องติดรถยนต์จำเป็นแค่ไหน และมีประโยชน์อย่างไร?

     หากพูดถึงอุปกรณ์เสริมสำหรับรถยนต์ในยุคปัจจุบัน มีอุปกรณ์มากมายหลายอย่างให้เราเลือกมาใช้เพื่อความสะดวกภายในรถ หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้น กล้องติดรถยนต์ หรือ กล้องหน้ารถ ซึ่งจะเห็นได้ทั่วไปในรถยนต์ยุคนี้ หรือแม้แต่รถตู้ รถบัส รถบรรทุก รถขนส่ง ก็มีกล้องติดรถเช่นกัน

     ซึ่งเหตุผลส่วนใหญ่ของการมีกล้องติดรถนั้น ส่วนมากจะเป็นเรื่องของความปลอดภัย และเป็นหลักฐานสำคัญเพื่อยืนยันเหตุการณ์ต่าง ๆ เพราะทุกครั้งที่เกิดอุบัติเหตุ หรือมีการเฉี่ยวชน ต่างฝ่ายอาจจะไม่ทันได้สังเกตว่าใครเป็นฝ่ายผิด และคงเป็นเรื่องยาก หากเราจะพูดปากเปล่าว่าเราเป็นฝ่ายถูก หากคู่กรณียืนยันว่าเขาก็ไม่ผิดเช่นกัน ดังนั้น ภาพวิดีโอจากกล้องติดรถ จึงเป็นหลักฐานชั้นดีที่จะช่วยยุติข้อพิพาทได้

📍นัดหมาย ติดต่อนำรถเข้าศูนย์บริการ ติดต่อได้ที่  ☎️ 099-310-8265

บทความ

วิธีรับมือ เมื่อรถคันเร่งค้าง ขณะขับขี่

อุบัติเหตุบนท้องถนนสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ปัญหารถคันเร่งค้าง ก็เป็นอีกสาเหตุที่ก่อให้เกิดอุบัติบนท้องถนน ซึ่งวันนี้เราจึงรวบรวมวิธีการรับมือ เมื่อรถเกิดปัญหาคันเร่งค้าง เพื่อเป็นความรู้เบื้องต้นในการรับมือ หากเกิดคันเร่งค้างเพียงเเค่ตั้งสติ เเละทำตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้  

วิธีรับมือ เมื่อรถคันเร่งค้าง ขณะขับขี่

1.ตั้งสติ

    ไม่ว่าจะเจอปัญหาใดๆ เพียงแค่ตั้งสติก็สามารถช่วยคุณแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น ดังนั้นคุมสติเเล้วพยายามมองดูถนนทางข้างหน้า พยายามควบคุมรถไปในทิศทางที่ปลอดภัยมากที่สุดได้

2.เปลี่ยนเป็นเกียร์ว่างทัน
    

    หากรถเป็นเกียร์อัตโนมัติ ให้เหยียบเบรกแล้วเข้าเกียร์ว่าง หรือตัว N

    หากเป็นรถเกียร์ธรรมดา ให้เหยียบคลัตช์และเปลี่ยนเป็นเกียร์ว่างทันที เพื่อตัดกำลังเครื่องยนต์ลง

3.เหยียบเบรกให้ถูกต้อง

     หากเป็นรถเกียร์อัตโนมัติ ให้แตะเบรกเพื่อชะลอความเร็วลง แต่หากเป็นรถที่มีระบบเบรก ABS ให้แตะเบรกค้างไว้ พยายามควบคุมรถเพื่อหาที่จอดที่ปลอดภัยแล้วดับเครื่องตามลำดับ

    หากเป็นรถเกียร์ธรรมดา ให้เหยียบคลัตช์เพื่อเปลี่ยนเป็นเกียร์ว่าง พยายามประคองรถให้ดีสลับกับการแตะเบรกเป็นระยะ จากนั้นค่อยดับเครื่องตามลำดับ

    ในกรณีที่ไม่สามารถเบรกได้ทัน ให้ผู้ขับขี่ตั้งสติพยายามประคองรถเข้าหาจุดที่แข็งแรงพอที่จะหยุดรถได้ โดยนำฝั่งที่ไม่มีคนเข้าเพื่อหยุดรถ

4.เปิดไฟฉุกเฉินตลอด

    เมื่อนำรถจอดในพื้นที่ปลอดภัยแล้ว ให้เปิดไฟฉุกเฉิน เพื่อเป็นสัญญาณเตือนให้รถคันอื่นทราบเเละระมัดระวัง จากนั้นจึงโทรขอความช่วยเหลือจากศูนย์บริการที่เกี่ยวข้อง

   ข้อควรระวัง
– ขณะขับขี่หากรถเกิดปัญหาคันเร่งค้าง ไม่ควรเหยียบเบรกจนสุดแบบกะทันหัน อาจทำให้รถหมุนเเละเสียการควบคุมได้

– ขณะขับขี่หากรถเกิดปัญหาคันเร่งค้าง ไม่ควรดับเครื่องเด็ดขาด เพราะหากดับเครื่องโดยทันที พวงมาลัยพาวเวอร์จะไม่สามารถทำงานได้ ส่งผลให้บังคับพวงมาลัยได้ยากมากขึ้น และควบคุมทิศทางรถได้ยาก อีกทั้งเบรกจะเเข็ง ทำให้ชะลอความเร็วหรือหยุดรถไม่ได้

   รู้เเบบนี้เเล้ว หากรถเกิดคันเร่งค้าง อย่าลืมนำข้อควรปฏิบัติเหล่านี้ไปทำตาม เพื่อลดความเสียหายรุนเเรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และที่สำคัญอย่าลืมหมั่นตรวจเช็คสภาพรถให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ

📍นัดหมาย ติดต่อนำรถเข้าศูนย์บริการ ติดต่อได้ที่  ☎️ 099-310-8265

บทความ

New ORA Good Cat รุ่นผลิตในประเทศไทย

        New GWM ORA Good Cat รุ่นผลิตในประเทศไทย มาพร้อมกับ 3 รุ่นย่อย รุ่น PRO และ รุ่น ULTRA ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 105 กิโลวัตต์ (143 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร สามารถวิ่งได้ 480 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (มาตรฐาน NEDC) และรุ่น GT มีพละกำลังสูงสุด 126 กิโลวัตต์ (171 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร วิ่งได้ 460 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (มาตรฐาน NEDC) 

       การออกแบบดีไซน์ถูกออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ Empower Your Moment มาพร้อมไฟหน้า LED อัจฉริยะรูปทรงตาแมวอันเป็นเอกลักษณ์ ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว และเพิ่มความสปอร์ตในรุ่น GT ด้วยคาลิปเปอร์เบรกสีเหลือง หน้าจอ Interactive Double Screen หน้าจอพาดยาวบริเวณคอนโซลของตัวรถมีขนาด 17.25 นิ้ว ความละเอียดสูง โดยแยกเป็นหน้าจอสำหรับแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 7 นิ้ว ผสานกับหน้าจอมัลติมีเดียแบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว รวมถึงเทคโนโลยีอัจฉริยะอย่างครบครันถึง 31 รายการ

สำหรับ New ORA Good Cat ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นนำเข้ามีรายละเอียดดังนี้

1.ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟต ขนาดความจุ 57.70 kWh มีระยะทางการวิ่งต่อการชาร์จ 1 ครั้งอยู่ที่ 480 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากเดิมมีแบตเตอรี่ขนาดความจุ 2 ขนาดได้แก่ 47.8 kWh สามารถวิ่งได้ต่อการชาร์จ 1 ครั้งอยู่ที่ 400 กิโลเมตร และ 63.1 kWh สามารถวิ่งได้ต่อการชาร์จ 1 ครั้งอยู่ที่ 500 กิโลเมตร ในรุ่น Pro และ รุ่น Ultra

2.ปรับตำแหน่งเกียร์จากแบบมือหมุนที่คอลโซลกลาง เป็น แบบก้านตำแหน่งที่ด้านข้างพวงมาลัย

3.อัปเกรด Wireless Charger ใหม่ สามารจ่ายกระแสไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นเป็น 50 วัตต์

4.เพิ่มช่องต่อ USB ทั้ง Type A และ C สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า

5.ชุดคอนโซลกลางมีการออกแบบใหม่เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้มากขึ้น

6.เพิ่มระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการชนครั้งที่ 2 โดยเมื่อเกิดเหตุรถจะรักษาเสถียรภาพของตัวรถไว้เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน

7.เพิ่มฟังก์ชัน V2L (Vehicle to Load) ที่เป็นระบบจ่ายกระแสไฟฟ้าจากตัวรถยนต์ไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้าที่คุณต้องการ

 

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้า ติดต่อได้ที่ GWM Krabiหรือ โทร ☎️ 099-310-8265

บทความ

ต่อใบขับขี่ 2567 Walk In เลยแบบไม่ต้องจองคิว

    การต่ออายุใบขับขี่ เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นการยืนยันว่าผู้ขับขี่ยังคงมีความสามารถในการขับรถอย่างปลอดภัย โดยใบขับขี่ในประเทศไทยมีอายุ 5 ปี สำหรับใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล และ 2 ปี สำหรับใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล หากใบขับขี่หมดอายุแล้ว ถือว่าไม่มีสิทธิ์ในการขับรถตามกฎหมาย 

   นอกจากนี้ การต่ออายุใบขับขี่ยังช่วยให้ผู้ขับขี่ได้รับการทดสอบสมรรถภาพร่างกายและทดสอบภาคทฤษฎี ซึ่งจะช่วยย้ำเตือนให้ผู้ขับขี่ตระหนักถึงกฎจราจรและความปลอดภัยบนท้องถนน

    ดังนั้น ผู้ขับขี่ควรต่ออายุใบขับขี่ก่อนวันหมดอายุอย่างน้อย 30 วัน เพื่อให้มีเวลาเตรียมเอกสารและจองคิวต่อใบขับขี่ได้ทันเวลา 

เอกสารที่ต้องเตรียมในการต่อใบขับขี่ 2567

  • ใบขับขี่เดิมที่ยังไม่หมดอายุ
  • บัตรประจำตัวประชาชน 
  • หลักฐานการเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
  • ใบรับรองแพทย์ 

ขั้นตอนการต่อใบขับขี่ 2567

  1. เตรียมเอกสาร
  2. การต่อใบขับขี่ 2567 สามารถทำได้ทั้งการจองคิวล่วงหน้าผ่านระบบออนไลน์ หรือ Walk In เลยแบบไม่ต้องจองคิว ณ สำนักงานขนส่ง ในพื้นที่ เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 00-15.30 น.
  3. ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย
    ทำการตรวจวัดสมรรถภาพร่างกาย ได้แก่ ทดสอบการมองเห็นสี สายตาทางลึก สายตาทางกว้าง และทดสอบปฎิกิริยาของเท้า
  4. อบรมภาคทฤษฎี
    สามารถอบรมภาคทฤษฎีผ่านระบบ DLT eLearning หรือเรียนที่สำนักงานขนส่งในพื้นที่
  5. ทดสอบภาคปฏิบัติ
    เมื่ออบรมภาคทฤษฎีแล้ว จะต้องทำการทดสอบภาคปฏิบัติ
  6. ชำระค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมในการต่อใบขับขี่ 2567 มีดังนี้

  1. ใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล 5 ปี 505 บาท
  2. ใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล 2 ปี 255 บาท
  3. ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล 5 ปี 205 บาท
  4. ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล 2 ปี 105 บาท
บทความ

รถยางระเบิดเกิดจากอะไรได้บ้าง

         ยางระเบิดเกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่งล้วนแต่เป็นการใช้งานยางรถยนต์ที่ผิดหลักความปลอดภัย ดังนี้

ใช้ยางรถยนต์หมดอายุ

     ยางรถยนต์ใช้ได้กี่ปีจะขึ้นอยู่กับการถนอมยางและคุณภาพของยางประกอบด้วย แต่โดยปกติควรใช้ยางประมาณ 2 – 3 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร และหากพบรอยแตกลายงา ยางบวม หรือปัญหาอื่น ๆ บนหน้ายางควรเปลี่ยนยางทันทีก่อนจะเกิดยางระเบิด

ขับรถเร็วเกินกำหนด

      ยางรถยนต์มีอัตราความเร็วสูงสุดที่ถูกกำหนดไว้ หากผู้ใช้งานฝืนใช้งานเกินความเร็วที่กำหนดจะทำให้ยางเสียดสีกับถนนจนเกิดความร้อนได้ง่าย เสี่ยงต่อยางระเบิดสูง

ใช้ยางผิดประเภท

       การใช้ยางผิดประเภทนี้หมายถึงการใช้ยางผิดขนาดจากที่ควรจะเป็น โดยที่ไม่ได้เปรียบเทียบขนาดยางรถยนต์ที่เหมาะกับตนเองก่อน และการใช้ยางรับน้ำหนักที่มากเกินกว่าที่ผู้ผลิตยางกำหนด การนำยางไปใช้งานผิดประเภทเช่นนี้ทำให้ยางเสียหายและระเบิดได้

เกิดยางรั่ว

      การขับขี่ที่ก่อให้ยางเกิดความเสียหาย เช่น ขับรถตกหลุมอย่างแรง หรือขับรถชนจนแก้มยางแตก ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้ยางระเบิดได้ แม้แก้มยางฉีกนิดเดียวก็ไม่ควรฝืนใช้งานต่อ ควรเรียกช่างมาเปลี่ยนยางทันที

       ยางระเบิดเกิดขึ้นได้หากผู้ใช้ละเลยการดูแลรักษายางอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหายางระเบิด ผู้ใช้รถจึงควรใส่ใจสุขภาพของยางรถยนต์ให้มากขึ้น และรู้วิธีรับมือหากเกิดยางระเบิด

บทความ

รวม 5 สิ่งที่ต้องเตรียมให้พร้อมก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า

สำหรับใครที่ตัดสินใจแล้วว่าต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เราขอแนะนำให้คุณติดตั้ง 5 สิ่งนี้ให้พร้อม เพื่อที่จะได้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าอย่างสบายใจ ไม่มีปัญหามากวนใจในภายหลัง ได้แก่

  • ติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าบ้านที่มีแอมป์เหมาะสมและรองรับกับรถยนต์ไฟฟ้า
  • เปลี่ยนขนาดสายไฟฟ้าเข้าบ้าน หรือที่เรียกว่า “สายเมน” และขนาดลูกเซอร์กิต (MCB) ให้สอดคล้องกับมิเตอร์ไฟฟ้าอันใหม่
  • ติดตั้งตู้ควบคุมไฟฟ้า (Main Distribution Board: MDB) แยกสำหรับการชาร์จรถไฟฟ้าโดยเฉพาะ
  • ติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่ว (Earth-Leakage Circuit Breaker) เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน
  • ติดตั้งหัวชาร์จไฟฟ้า (EV Socket) จากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า

สำหรับใครที่มีข้อสงสัยว่ามีขั้นตอนการติดตั้งอย่างไร สามารถสอบถามกับผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่ไปใช้บริการได้เลย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมีเจ้าหน้าที่คอยช่วยดำเนินการเรื่องเหล่านี้อยู่

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้าหรือมีปัญหาการใช้งาน สามารถติดต่อได้ที่ GWM Krabi⚡ หรือ โทร ☎️ 099-310-8265

error: Content is protected !!