บทความ

รวม 5 สิ่งที่ต้องเตรียมให้พร้อมก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า

สำหรับใครที่ตัดสินใจแล้วว่าต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เราขอแนะนำให้คุณติดตั้ง 5 สิ่งนี้ให้พร้อม เพื่อที่จะได้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าอย่างสบายใจ ไม่มีปัญหามากวนใจในภายหลัง ได้แก่

  • ติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าบ้านที่มีแอมป์เหมาะสมและรองรับกับรถยนต์ไฟฟ้า
  • เปลี่ยนขนาดสายไฟฟ้าเข้าบ้าน หรือที่เรียกว่า “สายเมน” และขนาดลูกเซอร์กิต (MCB) ให้สอดคล้องกับมิเตอร์ไฟฟ้าอันใหม่
  • ติดตั้งตู้ควบคุมไฟฟ้า (Main Distribution Board: MDB) แยกสำหรับการชาร์จรถไฟฟ้าโดยเฉพาะ
  • ติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่ว (Earth-Leakage Circuit Breaker) เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน
  • ติดตั้งหัวชาร์จไฟฟ้า (EV Socket) จากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า

สำหรับใครที่มีข้อสงสัยว่ามีขั้นตอนการติดตั้งอย่างไร สามารถสอบถามกับผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่ไปใช้บริการได้เลย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมีเจ้าหน้าที่คอยช่วยดำเนินการเรื่องเหล่านี้อยู่

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้าหรือมีปัญหาการใช้งาน สามารถติดต่อได้ที่ GWM Krabi⚡ หรือ โทร ☎️ 099-310-8265

บทความ

รถไฟฟ้า หรือ รถ EV ควรเลือกยางแบบไหนดี?

       รถไฟฟ้า หรือ รถยนต์ EV (Electric Vehicle) ก็ต้องบอกเลยว่าปัจจุบันนี้รถยนต์ไฟฟ้ากำลังเป็นที่นิยมและเป็นที่พูดถึงในวงกว้างมากๆ เลย เนื่องจากว่ามีข้อดีหลายอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นในการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าก็มีสิ่งที่จำเป็นต้องดูแลและให้ความใส่ใจอยู่ โดยเฉพาะเรื่องของยางรถ EVที่ควรใช้ให้ถูกต้อง แล้วควรเลือกอย่างไร

คุณสมบัติของยางรถ EV

ยางรถ EV เป็นยางที่ผลิตขึ้นมาสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ นั่นก็เพื่อให้มีความทนทานต่อน้ำหนักของตัวรถที่จะมีความหนักมากกว่ารถยนต์ทั่วไป สิ่งนี้เองที่ทำให้จำเป็นต้องเลือกใช้ยางให้เหมาะสมกับรถยนต์ไฟฟ้า เพราะยางรถยนต์ไฟฟ้ามีคุณสมบัติที่สามารถรองรับการใช้งานของรถได้เป็นอย่างดีนั่นเอง ซึ่งคุณสมบัติของยางรถยนต์ไฟฟ้าก็มีดังต่อไปนี้

  • ทนทานต่อการสึกหรอ
  • ยึดเกาะถนนได้ดี
  • เงียบกว่ายางรถทั่วไป
  • ประหยัดพลังงานมากกว่ายางรถทั่วไป เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้ามีแรงต้านทานการหมุนน้อยกว่า

เลือกยางรถ EV แบบไหนดี ให้เหมาะกับรถ EVของคุณ

รถ EV ไม่จำเป็นต้องเลือกใช้ยางรถ EV เท่านั้น แต่หากใช้ยางที่ออกแบบมาสำหรับรถ EV โดยเฉพาะ จะได้รับสมรรถนะที่ดีกว่า และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า

ประเภทของยางรถ EV

      สิ่งแรกที่ควรคำนึงถึงในการเลือกซื้อยางรถ EV ก็คือ ประเภทของยาง เนื่องจากรถแต่ละรุ่นก็เหมาะสมกับยางไม่เหมือนกัน รวมถึงการใช้งานก็เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญกับการเลือกยางก่อนด้วย ซึ่งประเภทของยางรถยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะสมก็มีดังต่อไปนี้

1.สภาพอากาศและภูมิประเทศ

    นอกจากที่จะต้องเลือกยางรถ EV จากประเภทของยางแล้ว การเลือกจากสภาพอากาศหรือว่าสภาพภูมิประเทศที่อาศัยอยู่ก็สำคัญไม่แพ้กัน เช่น หากว่าต้องมีการใช้งานในสภาพอากาศที่หนาวเย็นมากๆ ก็ควรเลือกยางที่สามารถยึดเกาะถนนได้ดี เช่น การเลือกยางที่มีส่วนผสมของซิลิก้า (Silica) สูง ทั้งนี้ การเลือกให้เหมาะสมกับสภาพอากาศจะช่วยให้การขับขี่เป็นไปด้วยดีมากขึ้น

2.ระยะทางที่ใช้งาน

     อีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ให้ความสำคัญไม่ได้เลยในการเลือกซื้อยางรถ EV นั่นก็คือ เรื่องของระยะทางการใช้งาน เนื่องจากว่าระยะทางที่มากขึ้นสามารถส่งผลกระทบต่อยางได้มากขึ้นด้วย จึงจำเป็นมากที่จะต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย เช่น หากว่าต้องมีการเดินทางไกลบ่อยๆ ก็ควรเลือกยางแบบที่มีค่า Rolling Resistance ต่ำ เพราะจะช่วยให้สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าของรถได้

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้า ติดต่อได้ที่ GWM Krabiหรือ โทร ☎️ 099-310-8265

บทความ

5 เทคนิคการดูแลรักษารถยนต์ไฟฟ้า

1. มอเตอร์ไฟฟ้า

โดยปกติแล้ว มอเตอร์ไฟฟ้ามีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และไม่ต้องการการดูแลยิบย่อยเหมือนเครื่องยนต์สันดาป เจ้าของรถไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง หรือเปลี่ยนไส้กรองเหมือนรถที่ใช้น้ำมัน แต่เพื่อการใช้งานที่ยาวนาน ควรนำรถเช็กระยะตามกำหนดทุกครั้ง ให้ช่างได้ดูแลตรวจสอบความผิดปกติของมอเตอร์ไฟฟ้า เพราะหากขัดข้องขึ้นมา อาจทำให้คุณเจอปัญหาบานปลายได้

2. แบตเตอรี่

ปัญหาที่มักเกิดกับแบตเตอรี่ ส่วนมากจะเป็นเรื่องของความชื้นที่อาจไปกัดกร่อนชิ้นส่วนทางกลไก จนทำให้แบตเตอรี่ขัดข้องและมีอายุการใช้งานสั้นลง นอกจากนี้ ยังต้องระวังในเรื่องของความร้อนสะสมที่อาจมากเกินไป หากไม่จำเป็นจึงไม่ควรจอดรถไฟฟ้ากลางแจ้งหรือนอกที่ร่ม

เรื่องการชาร์จเองก็ส่งผลกับแบตเตอรี่เช่นเดียวกัน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าไม่ควรชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าทิ้งไว้นานเกินไป เพราะอาจส่งผลให้แบตเตอรี่ไฟฟ้าสึกหรอได้ แต่ก็ไม่ควรปล่อให้แบตเตอรี่ต่ำเกินไป เป็นระยะเวลานาน ๆ เช่นกัน เนื่องจากสุขภาพแบตเตอรี่อาจจะเสื่อมเร็วได้นั่นเอง

3. อุปกรณ์ชาร์จไฟ

ในส่วนของที่ชาร์จไฟฟ้า ควรเลือกใช้ที่ชาร์จเดิมที่มาพร้อมกับรถ เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองมาแล้วว่ามีความปลอดภัยและมีระบบการป้องกันประกายไฟ รวมถึงไฟฟ้าลัดวงจร สร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้งานได้มากกว่าหัวชาร์จที่ไม่ได้มาตรฐาน

4. ระบบเบรก

รถยนต์ไฟฟ้านั้น มักจะมีระบบเบรก 2 รูปแบบ ประกอบด้วย 

1. ระบบเบรกแบบ Regenerative Braking เมื่อคนขับเหยียบเบรก ตัวปั่นไฟจะหน่วงรถให้ช้าลงและเปลี่ยนแรงเฉื่อยของรถให้เป็นพลังงานไฟฟ้า และชาร์จไฟกลับไปยังแบตเตอรี่

2. ระบบเบรกแบบปกติ ที่จะถูกใช้งานเมื่อมีการเหยียบเบรกแบบกะทันหันหรือฉับพลัน

เมื่อระบบเบรกแบบ Regenerative Braking ถูกใช้งาน ระบบเบรกแบบปกติจะถูกลดบทบาทลง ซึ่งหากไม่ได้ใช้งานนาน ๆ ก็จะทำให้เกิดสนิมได้ เมื่อต้องการใช้งานจริง ๆ จึงอาจทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ผู้ขับขี่จึงควรดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ และเปลี่ยนผ้าเบรกใหม่เมื่อผ่านการใช้งานมาแล้ว 80,000 กิโลเมตร หรือเร็วกว่านั้นหากมีการใช้งานหนัก เช่น บรรทุกของเยอะ หรือขับด้วยความเร็วสูงเป็นประจำ

5. ยางรถยนต์

การดูแลรักษายางรถยนต์ไฟฟ้านั้นไม่ต่างจากรถยนต์ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการรักษาระดับความดันลมยางให้ถูกต้อง การตรวจสอบความดันลมยางและเติมลมยางอย่างสม่ำเสมอ (ดูคำแนะนำได้ในคู่มือรถ) หากยางลมอ่อนหรือแข็งจนเกินไป อาจทำให้เกิดการระเบิดและดอกยางเสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนดได้ ซึ่งปกติแล้ว ยางรถไฟฟ้าจะมีอายุการใช้งานแตกต่างกัน (ขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อ) แต่ส่วนใหญ่มักจะมีระยะการใช้งานที่ 20,000-50,000 กิโลเมตร โดยประมาณ

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้า ติดต่อได้ที่ GWM Krabiหรือ โทร ☎️ 099-310-8265

บทความ

จุดเด่น ORA 07 

       ORA 07 รถยนต์ไฟฟ้าสปอร์ตคูเป้สมรรถนะสูง โดยก่อนหน้านี้มาโชว์ตัวในไทยในชื่อ “Grandcat” แต่แล้วก็เปลี่ยนใหม่โดยใช้เป็นตัวเลขเพื่อบ่งบอกถึงความเป็นลำดับเซกเมนต์ของรถยนต์ ORA นั่นเอง ด้วยคอนเซ็ปต์การออกแบบด้วยแรงบันดาลใจจากความงามแห่งธรรมชาติผสมผสานกับความสปอร์ต ที่พร้อมให้ทุกขณะของการขับขี่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเร้าใจ และยังดื่มด่ำไปกับสุนทรียภาพแห่งการดีไซน์ ด้วยวัสดุคุณภาพชั้นเยี่ยมและผิวสัมผัสต่าง ๆ ที่ถูกคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถัน

      ORA 07 รุ่น LONG RANGE อยู่ที่ 1,299,000 บาท และ ORA 07 รุ่น PERFORMANCE อยู่ที่ 1,499,000 บาท มาพร้อมกับเฉดสีภายนอกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีขาว (Jade White) สีเทา (Amethyst Grey) และสีพิเศษ ม่วง (Crystal Purple) ในรุ่น PERFORMANCE เฉดสีภายในมีให้เลือก 2 สี คือ สีดำ และสีน้ำตาล ซึ่งเบาะสีน้ำตาลจะเป็นสีพิเศษสำหรับรุ่น PERFORMANCE ซึ่งเลือกจับคู่ได้กับสีภายนอกสีม่วงและสีเทาเท่านั้น นอกจากนี้ ORA 07 ยังมาพร้อมการรับประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์ 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) และการรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือระยะทาง 180,000กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)              

จุดเด่น

  • ดีไซน์แบบรถสปอร์ตหรูยอดฮิต 
  • หลังคาแก้ว 2 ตอน 
  • ระบบความปลอดภัยเต็มคัน
  • มีกล้องรอบคัน เตือนออกนอกเลนระบบช่วยจอด 3 รูปแบบ
  • ภายในสปอร์ตสวย
  • จอกลางสัมผัสไหลลื่น
  • สปอยเลอร์เปิด-ปิดอัตโนมัติหรือสั่งเปิดเองได้
  • พลังมอเตอร์ไฟฟ้ากว่า 400 แรงม้า
  • วิ่งไกลกว่า 500 กม./ชาร์จ
  • ภายในกว้างขวางโปร่ง
  • กระจกประตูไร้ขอบแบบสปอร์ต 

ราคา

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้า ติดต่อได้ที่ GWM Krabiหรือ โทร ☎️ 099-310-8265

บทความ

เปลี่ยนทะเบียนรถเพราะชำรุด ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง

    ป้ายทะเบียนรถซีด หลุดลอก ชำรุด หากเพิกเฉยไม่ยอมเปลี่ยนป้ายทะเบียนรถก็มีความผิดตามกฎหมาย ส่วนเอกสารและค่าใช้จ่ายในการขอเปลี่ยนป้ายทะเบียนรถใหม่ มีดังนี้

เอกสารในการยื่นขอเปลี่ยนทะเบียนรถใหม่แทนป้ายที่ชำรุด

  1. แผ่นป้ายทะเบียนรถเดิมที่ชำรุด
  2. เล่มจดทะเบียนรถและสำเนา
  3. บัตรประชาชนเจ้าของรถตัวจริงและสำเนา (หากไม่ได้ดำเนินการเองต้องมีหนังสือมอบอำนาจ)

ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนทะเบียนรถใหม่แทนป้ายที่ชำรุด

  1. ค่าคำขอ 5 บาท
  2. ค่าป้ายทะเบียนรถยนต์ 2 แผ่น 200 บาท

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้า ติดต่อได้ที่ GWM Krabiหรือ โทร ☎️ 099-310-8265

บทความ

รู้จักการใช้งาน “ไฟฉุกเฉิน”

      ตาม พ.ร.บ.จราจร มาตรา 9 และกฎกระทรวงข้อ 11 กฎหมายกำหนดให้ใช้ไฟฉุกเฉิน เฉพาะกรณีรถเสียที่จอดอยู่กับที่เท่านั้น แต่ทุกวันนี้กลับพบผู้ใช้สัญญาณไฟฉุกเฉินกันผิดๆ ได้แก่

      1.การใช้ไฟฉุกเฉินเพื่อข้ามทางแยกหากเปิดไฟฉุกเฉินเพื่อข้ามทางแยก รถทางซ้ายและขวา จะเห็นไฟกระพริบเพียงมุมใดมุมหนึ่งเท่านั้น ทำให้นึกว่าคุณกำลังจะเลี้ยว จึงมิได้ชะลอความเร็วลง ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

       ข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง  ชะลอความเร็วก่อนถึงแยก มองซ้ายขวาให้รอบคอบ ให้รถทางเอกไปก่อนเสมอ ไม่จำเป็นต้องเปิดสัญญาณแต่อย่างใด

      2.ใช้ไฟฉุกเฉินเมื่อฝนตกหนักเนื่องจากขณะเปิดไฟฉุกเฉิน ไฟเลี้ยวจะไม่ทำงาน ทำให้รถที่ตามมา หรือ คันข้างๆ ไม่ทราบว่าเรากำลังจะเลี้ยวหรือเปลี่ยนเลน ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ อีกทั้งยังเป็นการรบกวนสายตาผู้อื่น เกินความจำเป็นอีกด้วย นอกจากนั้น หากมีรถเสียขึ้นมาจริงๆ และรถคันอื่นใช้ไฟฉุกเฉินกันอย่างพร่ำเพรื่อ อาจทำให้คันที่ตามมาเข้าใจผิดว่า ข้างหน้ามีจราจรติดขัด ทำให้จอดตามๆกัน

         ข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง 
      1.ใช้ความเร็วต่ำ และเปิดไฟหน้า
      2.ไม่เปลี่ยนช่องทางหากไม่จำเป็น และไม่ขับรถชิดคันหน้าจนเกินไป
      3.ไม่เปิดไฟสูง เพราะรบกวนสายตารถคันอื่นและตัวเองอีกด้วย
      4.หมั่นตรวจเช็คอุปกรณ์ส่องสว่างให้ใช้งานได้ปกติ

     หากรถของคุณติดตั้งไฟตัดหมอกหน้าและหลัง ควรใช้งานเมื่อทัศนวิสัยแย่มากๆเท่านั้นนะครับ โดยสังเกตดูง่ายๆว่า หากคุณไม่สามารถมองเห็นไฟท้ายของรถคันหน้า หรือ ไฟหน้าของรถคันหลัง ในระยะ 50-100 เมตร ก็อาจเปิดไฟตัดหมอกได้ เพื่อให้รถคันอื่นเห็นคุณจากระยะไกลขึ้น และเมื่อทัศนะวิสัยดีขึ้น ควรปิดทันที เพื่อไม่ให้แยงสายตารถคันอื่น

     เพียงเท่านี้ ก็จะช่วยให้ผู้ขับขี่ สามารถใช้ถนนร่วมกันอย่างปลอดภัยขึ้น

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้า ติดต่อได้ที่ GWM Krabiหรือ โทร ☎️ 099-310-8265

บทความ

5 จุดเด่นของ New Haval Jolion Sport

1. ดีไซน์ภายนอก ตกแต่งด้วยวัสดุสีดำรอบคัน

   เริ่มกันที่ดีไซน์ภายนอกของ 2023 Haval Jolion Sport ที่มีการปรับเปลี่ยนลุคให้มีกลิ่นอายความสปอร์ตและดูดุดันมากยิ่งขึ้น ด้วยชุดกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ Black Symmetric ที่จะมาในโทนสีดำ พร้อมด้วยชุดไฟหน้าแบบ Projector Lens แบบ Full Led พร้อมด้วยชุดไฟ Daytime Running Light สุดโดดเด่น

2. ภายในห้องโดยสาร มาในโทนสีดำ-เทา ให้ความรู้สึกสปอร์ต

    มาต่อกันที่การออกแบบภายในห้องโดยสาร ที่ยังคงคุมโทนให้ใกล้เคียงกับดีไซน์ภายนอก ด้วยการเลือกใช้โทนสีดํา (All Black) เสริมฟิลลิ่งความสปอร์ตด้วยการตกแต่ง ด้วยวัสดุสีเงินและวัสดุบุนุ่ม (Soft-Touch) ในหลายๆจุด

   หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ จะได้เป็นแบบดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว พร้อมด้วยหน้าจอกลางแบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple Carplay และ Android Auto นอกจากนี้ยังจะได้ชุดเกียร์ดีไซน์ลํ้า ตกแต่งด้วยสีพิเศษแบบ High Gross พร้อมระบบเบรกมือไฟฟ้า และระบบ Auto Break Hold

3. ขุมพลังเบนซินเทอร์โบ 1.5 ลิตร พร้อมระบบไฮบริด 190 แรงม้า

     สนุกเร้าใจทุกการขับขี่ ด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร ทำงานควบคู่กับระบบไฮบริด ให้กำลังแรงม้าสูงสุดที่  190 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 375 นิวตัน-เมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 ในพิกัดต่ำกว่า 10 วินาที เร่งแซงทันใจในทุกสถานการณ์

4. ออปชั่นความปลอดภัยและฟังก์ชั่นช่วยเหลือการขับขี่

     ถึงแม้ว่า Haval Jolion Sport จะได้ฟังก์ชั่นช่วยเหลือการขับขี่ไม่เหมือนกับรุ่นท็อป (Ultra) แต่ก็เรียกได้ว่ามีให้ใช้แบบเพียงพออย่างแน่นอน โดยจะได้ฟังก์ชั่นดังต่อไปนี้

  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (CRUISE CONTROL)
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน และลงทางลาดชัน (HAS / HDC)
  • เทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะ ผู้ขับขี่สามารถเร่งหรือชะลอความเร็วได้เพียงคันเร่งเดียว (INTELLIGENT SINGLE PADDLE)
  • ระบบช่วยเตือนความเมื่อยล้า ขณะขับขี่ (DFM)
  • ระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการชนครั้งที่ 2 (SCM)
  • ระบบไฟกระพริบอัตโนมัติ เมื่อเบรกกะทันหัน (ESS)

5. ราคา

     Haval Jolion Sport เปิดตัวในประเทศไทย ในราคาที่ทุกคนสามารถจับต้องได้ที่ 799,000 บาท

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้า ติดต่อได้ที่ GWM Krabiหรือ โทร ☎️ 099-310-8265

บทความ

เทคนิคการอ่านสเปกของรถยนต์ไฟฟ้า

      รถยนต์ไฟฟ้า  ยานพาหนะรูปแบบใหม่ที่เตรียมเข้ามาแทนที่รถยนต์เครื่องสันดาปหรือรถยนต์เชื้อเพลิงพลังงานน้ำมันนั้นเอง โดยภายในไม่กี่ปีข้างหน้า รถคันใหม่ที่เราซื้อก็ล้วนแล้วแต่มีรถยนต์ไฟฟ้าเป็นตัวเลือกหลักทั้งสิ้น

วิธีอ่านสเปกรถยนต์ไฟฟ้า

      ในรถยนต์เครื่องสันดาปปัจจุบันที่เราใช้งานกันอยู่ คนส่วนใหญ่มักจะดูเรื่องของออปชั่น เครื่องยนต์ เกียร์ และราคากันเป็นหลัก ซึ่งตัวเครื่องยนต์ของรถนั้นเราก็จะดูเรื่องของแรงม้า แรงบิดกันซะมากกว่า ส่วนในรถยนต์ไฟฟ้านั้น เราก็ดูสเปกตัวรถเหมือนกับรถยนต์เครื่องสันดาปเลย แตกต่างกันตรงที่มันไม่มีเครื่องยนต์ แต่จะใช้ “มอเตอร์ไฟฟ้า” ในการสร้างกำลังขับเคลื่อน เหมือนกับ “เครื่องยนต์” และ “แบตเตอรี่” ในการเก็บพลังงานไฟฟ้า เหมือนกับ “ถังน้ำมัน” นั่นเอง

     สเปกรถยนต์ไฟฟ้าที่เราควรทราบ นอกจากระยะทางต่อการวิ่ง 1 ครั้ง, อัตราเร่ง แรงม้า/แรงบิด, ออปชั่น, ราคา และอื่นๆ แล้ว สิ่งที่ควรทราบอีกนั่นคือ “รายละเอียดเกี่ยวกับสเปกของแบตเตอรี่” ว่าเป็นแบบไหนครับ ซึ่งทางค่ายรถก็มักจะแนบมาให้อยู่แล้ว

     พลังงานไฟฟ้าทั้งหมดที่แบตเตอรี่กักเก็บไว้ได้ หน่วยเป็น kWh เปรียบเสมือนหน่วย “ลิตร” ของความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิงรถยนต์นั่นเอง ส่วนแรงดันไฟฟ้า (หน่วย V หรือ Volt) คือแรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่ตัวรถ มีผลต่อเรื่องการชาร์จเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งแบตที่มีแรงดันไฟฟ้าสูง (Volt เยอะ) ก็จะยิ่งรับกำลังการชาร์จไฟฟ้าด้วยระบบ DC Fast charge ได้มากยิ่งขึ้น ส่วนการ  “รองรับการชาร์จ” ที่มีกำกับด้วยหน่วย kW หมายถึง “กำลังในการชาร์จไฟฟ้า” หน่วย kW

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้า ติดต่อได้ที่ GWM Krabiหรือ โทร ☎️ 099-310-8265

บทความ

6 ข้อควรรู้ก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า EV

1. ดูความจุของแบตเตอรี่กับระยะทางที่วิ่งได้ไกลที่สุด

     เช่น  รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้ไฟฟ้า 100% หรือที่เรียกว่าแบบ BEV (Battery Electric Vehicle) ถ้าใช้แบตเตอรี่ความจุ 60-90 kW จะสามารถวิ่งได้ไกลถึง 338-473 กม.ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง เป็นต้น ซึ่งถ้าหากอยากได้รถที่วิ่งระยะทางไกลมากขึ้น ก็ต้องเลือกรุ่นที่แบตมีความจุสูงมากขึ้นและแน่นอนว่าราคาของรถก็จะสูงตามขนาดความจุของแบตเตอรี่

2. ดูระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่

     รถ EV แต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อ มีระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอร์รี่เต็มไม่เท่ากัน ตามขนาดความจุของแบตเตอรี่ เช่น  ชาร์จแบบธรรมดาที่ใช้ไฟบ้านเป็นกระแสสลับ (AC) ใช้เวลาในการชาร์จประมาณ 12-16 ชม. ชาร์จแบบรวดเร็วจากตู้ไฟฟ้า EV Charger ใช้เวลาประมาณ 3 – 4 ชม.  ชาร์จแบบด่วนตามสถานีชาร์จนอกบ้านที่ใช้ไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charging) ใช้เวลาประมาณ 40-60 นาที

3. ใช้รถ EV ต้องเตรียมที่ชาร์จไฟฟ้าที่บ้าน

    เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานของไทยในเรื่องสถานีชาร์จยังไม่ครอบคลุม หรือหากมีสถานีชาร์จอยู่ใกล้ แต่อาจไม่มีหัวชาร์จที่ใช้ได้กับรถ EV ที่ใช้ เพราะมาตรฐานหัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละยี่ห้อแตกต่างกัน เพื่อความสะดวกอาจติดตั้งที่ชาร์จไฟที่บ้าน

4. ดูค่าเชื้อเพลิงที่ต้องจ่าย

    เมื่อเปรียบเทียบค่าเชื้อเพลิงระหว่างค่าน้ำมันกับค่าชาร์จไฟฟ้า พบว่า ค่าชาร์จไฟฟ้าของรถ EV ประหยัดกว่าค่าเติมน้ำมัน  โดยค่าเติมน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 1.50 – 3 บาท/ กิโลเมตร ขณะที่ค่าชาร์จไฟรถ EV อยู่เฉลี่ยอยู่ที่ 0.26-0.50 บาท / กิโลเมตร จะเห็นได้ว่ารถ EV ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่ารถน้ำมันหลายเท่าตัว

5. ดูเรื่องการซ่อมบำรุง

    เมื่อเปรียบเทียบค่าซ่อมบำรุงระหว่างรถที่ใช้น้ำมันกับรถ EV พบว่ารถ EV ที่ใช้ไฟฟ้า 100% ไม่มีเครื่องยนต์ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ไม่ค่อยมีปัญหาจุกจิก ทำให้ค่าซ่อมบำรุงและค่าดูแลรักษาต่ำกว่ารถที่ใช้น้ำมัน เฉลี่ยแล้วต่ำกว่า 50% ขณะที่รถน้ำมันต้องการการบำรุงรักษาที่มากกว่าเพราะเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันประกอบด้วยชิ้นส่วนมากมาย

6. ดูแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและมีบริการหลังการขาย

    เนื่องจากรถไฟฟ้าเพิ่งเข้ามาในไทยไม่นาน การพิจารณาเลือกแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่น่าเชื่อถือและได้มาตรฐานการผลิตจึงเป็นสิ่งสำคัญ รวมทั้งต้องมีศูนย์บริการหลังจากขายที่ได้มาตรฐาน สามารถช่วยเหลือเวลารถเกิดมีปัญหา เพราะไม่สามารถซ่อมรถ EV นอกศูนย์บริการได้

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้า ติดต่อได้ที่ GWM Krabi⚡

บทความ

รถยนต์ไฟฟ้า เติมลมเท่าไหร่ดี ?

     แรงดันลมยางสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป (ICE) จะขึ้นอยู่กับขนาดและน้ำหนักของรถยนต์ และ ขนาดยางที่ใช้ อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างเล็กน้อยระหว่างข้อกำหนดแรงดันลมยางสำหรับรถยนต์ EV และรถยนต์ ICE ที่ควรทราบ:
⚡รถ EVs จะหนักกว่ารถเติมน้ำมัน (ICE) เนื่องจาก ชุดแบตเตอรี่ที่หนัก เป็นผลให้ต้องการแรงดันลมยางที่สูงขึ้นเล็กน้อยเพื่อรองรับน้ำหนักและรักษาการควบคุมและประสิทธิภาพที่เหมาะสม

⚡รถยนต์ไฟฟ้ายังมีลักษณะการขับขี่ที่แตกต่างจากรถ ICE ด้วยแรงบิดทันทีและการเบรกแบบใหม่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการสึกหรอของยาง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องตรวจสอบและรักษาแรงดันลมยางในรถยนต์ไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด

⚡รถยนต์ไฟฟ้ามักจะมียางต้านทานการหมุนต่ำ ซึ่งออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและระยะทางสูงสุด ยางเหล่านี้อาจต้องใช้แรงดันลมยางสูงกว่ายางทั่วไปเล็กน้อยเพื่อรักษาสมรรถนะ

    โดยรวมแล้ว แม้ว่าความต้องการแรงดันลมยางสำหรับรถยนต์ EV และ ICE อาจใกล้เคียงกัน แต่สิ่งสำคัญคือต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตและปรับแรงดันตามน้ำหนักของรถและสภาพการขับขี่ การบำรุงรักษายางเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญสำหรับยานพาหนะทั้งสองประเภท เพื่อความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และสมรรถนะสูงสุด

    สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่า แรงดันลมยางที่เหมาะสมที่สุด ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น น้ำหนักของรถ สไตล์การขับขี่ และสภาพอากาศ ตัวอย่างเช่น ในสภาพอากาศหนาวเย็น แรงดันลมยางอาจลดลงและจำเป็นต้องปรับให้เหมาะสม

    แนะนำให้ตรวจสอบแรงดันลมยางเป็นประจำ อย่างน้อยเดือนละครั้ง และปรับค่าตามความจำเป็นเพื่อให้มั่นใจในการควบคุมรถ ความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงสุด ลมยางที่เติมลมมากเกินไปหรือน้อยเกินไปอาจส่งผลต่อการควบคุมรถ การเบรก และการสึกหรอของยาง รวมทั้งลดระยะทางและประสิทธิภาพของรถด้วย

error: Content is protected !!