รู้จักการใช้งาน “ไฟฉุกเฉิน”

      ตาม พ.ร.บ.จราจร มาตรา 9 และกฎกระทรวงข้อ 11 กฎหมายกำหนดให้ใช้ไฟฉุกเฉิน เฉพาะกรณีรถเสียที่จอดอยู่กับที่เท่านั้น แต่ทุกวันนี้กลับพบผู้ใช้สัญญาณไฟฉุกเฉินกันผิดๆ ได้แก่

      1.การใช้ไฟฉุกเฉินเพื่อข้ามทางแยกหากเปิดไฟฉุกเฉินเพื่อข้ามทางแยก รถทางซ้ายและขวา จะเห็นไฟกระพริบเพียงมุมใดมุมหนึ่งเท่านั้น ทำให้นึกว่าคุณกำลังจะเลี้ยว จึงมิได้ชะลอความเร็วลง ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

       ข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง  ชะลอความเร็วก่อนถึงแยก มองซ้ายขวาให้รอบคอบ ให้รถทางเอกไปก่อนเสมอ ไม่จำเป็นต้องเปิดสัญญาณแต่อย่างใด

      2.ใช้ไฟฉุกเฉินเมื่อฝนตกหนักเนื่องจากขณะเปิดไฟฉุกเฉิน ไฟเลี้ยวจะไม่ทำงาน ทำให้รถที่ตามมา หรือ คันข้างๆ ไม่ทราบว่าเรากำลังจะเลี้ยวหรือเปลี่ยนเลน ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ อีกทั้งยังเป็นการรบกวนสายตาผู้อื่น เกินความจำเป็นอีกด้วย นอกจากนั้น หากมีรถเสียขึ้นมาจริงๆ และรถคันอื่นใช้ไฟฉุกเฉินกันอย่างพร่ำเพรื่อ อาจทำให้คันที่ตามมาเข้าใจผิดว่า ข้างหน้ามีจราจรติดขัด ทำให้จอดตามๆกัน

         ข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง 
      1.ใช้ความเร็วต่ำ และเปิดไฟหน้า
      2.ไม่เปลี่ยนช่องทางหากไม่จำเป็น และไม่ขับรถชิดคันหน้าจนเกินไป
      3.ไม่เปิดไฟสูง เพราะรบกวนสายตารถคันอื่นและตัวเองอีกด้วย
      4.หมั่นตรวจเช็คอุปกรณ์ส่องสว่างให้ใช้งานได้ปกติ

     หากรถของคุณติดตั้งไฟตัดหมอกหน้าและหลัง ควรใช้งานเมื่อทัศนวิสัยแย่มากๆเท่านั้นนะครับ โดยสังเกตดูง่ายๆว่า หากคุณไม่สามารถมองเห็นไฟท้ายของรถคันหน้า หรือ ไฟหน้าของรถคันหลัง ในระยะ 50-100 เมตร ก็อาจเปิดไฟตัดหมอกได้ เพื่อให้รถคันอื่นเห็นคุณจากระยะไกลขึ้น และเมื่อทัศนะวิสัยดีขึ้น ควรปิดทันที เพื่อไม่ให้แยงสายตารถคันอื่น

     เพียงเท่านี้ ก็จะช่วยให้ผู้ขับขี่ สามารถใช้ถนนร่วมกันอย่างปลอดภัยขึ้น

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้า ติดต่อได้ที่ GWM Krabiหรือ โทร ☎️ 099-310-8265

5 จุดเด่นของ New Haval Jolion Sport

1. ดีไซน์ภายนอก ตกแต่งด้วยวัสดุสีดำรอบคัน

   เริ่มกันที่ดีไซน์ภายนอกของ 2023 Haval Jolion Sport ที่มีการปรับเปลี่ยนลุคให้มีกลิ่นอายความสปอร์ตและดูดุดันมากยิ่งขึ้น ด้วยชุดกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ Black Symmetric ที่จะมาในโทนสีดำ พร้อมด้วยชุดไฟหน้าแบบ Projector Lens แบบ Full Led พร้อมด้วยชุดไฟ Daytime Running Light สุดโดดเด่น

2. ภายในห้องโดยสาร มาในโทนสีดำ-เทา ให้ความรู้สึกสปอร์ต

    มาต่อกันที่การออกแบบภายในห้องโดยสาร ที่ยังคงคุมโทนให้ใกล้เคียงกับดีไซน์ภายนอก ด้วยการเลือกใช้โทนสีดํา (All Black) เสริมฟิลลิ่งความสปอร์ตด้วยการตกแต่ง ด้วยวัสดุสีเงินและวัสดุบุนุ่ม (Soft-Touch) ในหลายๆจุด

   หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ จะได้เป็นแบบดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว พร้อมด้วยหน้าจอกลางแบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple Carplay และ Android Auto นอกจากนี้ยังจะได้ชุดเกียร์ดีไซน์ลํ้า ตกแต่งด้วยสีพิเศษแบบ High Gross พร้อมระบบเบรกมือไฟฟ้า และระบบ Auto Break Hold

3. ขุมพลังเบนซินเทอร์โบ 1.5 ลิตร พร้อมระบบไฮบริด 190 แรงม้า

     สนุกเร้าใจทุกการขับขี่ ด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร ทำงานควบคู่กับระบบไฮบริด ให้กำลังแรงม้าสูงสุดที่  190 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 375 นิวตัน-เมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 ในพิกัดต่ำกว่า 10 วินาที เร่งแซงทันใจในทุกสถานการณ์

4. ออปชั่นความปลอดภัยและฟังก์ชั่นช่วยเหลือการขับขี่

     ถึงแม้ว่า Haval Jolion Sport จะได้ฟังก์ชั่นช่วยเหลือการขับขี่ไม่เหมือนกับรุ่นท็อป (Ultra) แต่ก็เรียกได้ว่ามีให้ใช้แบบเพียงพออย่างแน่นอน โดยจะได้ฟังก์ชั่นดังต่อไปนี้

  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (CRUISE CONTROL)
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน และลงทางลาดชัน (HAS / HDC)
  • เทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะ ผู้ขับขี่สามารถเร่งหรือชะลอความเร็วได้เพียงคันเร่งเดียว (INTELLIGENT SINGLE PADDLE)
  • ระบบช่วยเตือนความเมื่อยล้า ขณะขับขี่ (DFM)
  • ระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการชนครั้งที่ 2 (SCM)
  • ระบบไฟกระพริบอัตโนมัติ เมื่อเบรกกะทันหัน (ESS)

5. ราคา

     Haval Jolion Sport เปิดตัวในประเทศไทย ในราคาที่ทุกคนสามารถจับต้องได้ที่ 799,000 บาท

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้า ติดต่อได้ที่ GWM Krabiหรือ โทร ☎️ 099-310-8265

เทคนิคการอ่านสเปกของรถยนต์ไฟฟ้า

      รถยนต์ไฟฟ้า  ยานพาหนะรูปแบบใหม่ที่เตรียมเข้ามาแทนที่รถยนต์เครื่องสันดาปหรือรถยนต์เชื้อเพลิงพลังงานน้ำมันนั้นเอง โดยภายในไม่กี่ปีข้างหน้า รถคันใหม่ที่เราซื้อก็ล้วนแล้วแต่มีรถยนต์ไฟฟ้าเป็นตัวเลือกหลักทั้งสิ้น

วิธีอ่านสเปกรถยนต์ไฟฟ้า

      ในรถยนต์เครื่องสันดาปปัจจุบันที่เราใช้งานกันอยู่ คนส่วนใหญ่มักจะดูเรื่องของออปชั่น เครื่องยนต์ เกียร์ และราคากันเป็นหลัก ซึ่งตัวเครื่องยนต์ของรถนั้นเราก็จะดูเรื่องของแรงม้า แรงบิดกันซะมากกว่า ส่วนในรถยนต์ไฟฟ้านั้น เราก็ดูสเปกตัวรถเหมือนกับรถยนต์เครื่องสันดาปเลย แตกต่างกันตรงที่มันไม่มีเครื่องยนต์ แต่จะใช้ “มอเตอร์ไฟฟ้า” ในการสร้างกำลังขับเคลื่อน เหมือนกับ “เครื่องยนต์” และ “แบตเตอรี่” ในการเก็บพลังงานไฟฟ้า เหมือนกับ “ถังน้ำมัน” นั่นเอง

     สเปกรถยนต์ไฟฟ้าที่เราควรทราบ นอกจากระยะทางต่อการวิ่ง 1 ครั้ง, อัตราเร่ง แรงม้า/แรงบิด, ออปชั่น, ราคา และอื่นๆ แล้ว สิ่งที่ควรทราบอีกนั่นคือ “รายละเอียดเกี่ยวกับสเปกของแบตเตอรี่” ว่าเป็นแบบไหนครับ ซึ่งทางค่ายรถก็มักจะแนบมาให้อยู่แล้ว

     พลังงานไฟฟ้าทั้งหมดที่แบตเตอรี่กักเก็บไว้ได้ หน่วยเป็น kWh เปรียบเสมือนหน่วย “ลิตร” ของความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิงรถยนต์นั่นเอง ส่วนแรงดันไฟฟ้า (หน่วย V หรือ Volt) คือแรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่ตัวรถ มีผลต่อเรื่องการชาร์จเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งแบตที่มีแรงดันไฟฟ้าสูง (Volt เยอะ) ก็จะยิ่งรับกำลังการชาร์จไฟฟ้าด้วยระบบ DC Fast charge ได้มากยิ่งขึ้น ส่วนการ  “รองรับการชาร์จ” ที่มีกำกับด้วยหน่วย kW หมายถึง “กำลังในการชาร์จไฟฟ้า” หน่วย kW

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้า ติดต่อได้ที่ GWM Krabiหรือ โทร ☎️ 099-310-8265

6 ข้อควรรู้ก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า EV

1. ดูความจุของแบตเตอรี่กับระยะทางที่วิ่งได้ไกลที่สุด

     เช่น  รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้ไฟฟ้า 100% หรือที่เรียกว่าแบบ BEV (Battery Electric Vehicle) ถ้าใช้แบตเตอรี่ความจุ 60-90 kW จะสามารถวิ่งได้ไกลถึง 338-473 กม.ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง เป็นต้น ซึ่งถ้าหากอยากได้รถที่วิ่งระยะทางไกลมากขึ้น ก็ต้องเลือกรุ่นที่แบตมีความจุสูงมากขึ้นและแน่นอนว่าราคาของรถก็จะสูงตามขนาดความจุของแบตเตอรี่

2. ดูระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่

     รถ EV แต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อ มีระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอร์รี่เต็มไม่เท่ากัน ตามขนาดความจุของแบตเตอรี่ เช่น  ชาร์จแบบธรรมดาที่ใช้ไฟบ้านเป็นกระแสสลับ (AC) ใช้เวลาในการชาร์จประมาณ 12-16 ชม. ชาร์จแบบรวดเร็วจากตู้ไฟฟ้า EV Charger ใช้เวลาประมาณ 3 – 4 ชม.  ชาร์จแบบด่วนตามสถานีชาร์จนอกบ้านที่ใช้ไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charging) ใช้เวลาประมาณ 40-60 นาที

3. ใช้รถ EV ต้องเตรียมที่ชาร์จไฟฟ้าที่บ้าน

    เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานของไทยในเรื่องสถานีชาร์จยังไม่ครอบคลุม หรือหากมีสถานีชาร์จอยู่ใกล้ แต่อาจไม่มีหัวชาร์จที่ใช้ได้กับรถ EV ที่ใช้ เพราะมาตรฐานหัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละยี่ห้อแตกต่างกัน เพื่อความสะดวกอาจติดตั้งที่ชาร์จไฟที่บ้าน

4. ดูค่าเชื้อเพลิงที่ต้องจ่าย

    เมื่อเปรียบเทียบค่าเชื้อเพลิงระหว่างค่าน้ำมันกับค่าชาร์จไฟฟ้า พบว่า ค่าชาร์จไฟฟ้าของรถ EV ประหยัดกว่าค่าเติมน้ำมัน  โดยค่าเติมน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 1.50 – 3 บาท/ กิโลเมตร ขณะที่ค่าชาร์จไฟรถ EV อยู่เฉลี่ยอยู่ที่ 0.26-0.50 บาท / กิโลเมตร จะเห็นได้ว่ารถ EV ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่ารถน้ำมันหลายเท่าตัว

5. ดูเรื่องการซ่อมบำรุง

    เมื่อเปรียบเทียบค่าซ่อมบำรุงระหว่างรถที่ใช้น้ำมันกับรถ EV พบว่ารถ EV ที่ใช้ไฟฟ้า 100% ไม่มีเครื่องยนต์ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ไม่ค่อยมีปัญหาจุกจิก ทำให้ค่าซ่อมบำรุงและค่าดูแลรักษาต่ำกว่ารถที่ใช้น้ำมัน เฉลี่ยแล้วต่ำกว่า 50% ขณะที่รถน้ำมันต้องการการบำรุงรักษาที่มากกว่าเพราะเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันประกอบด้วยชิ้นส่วนมากมาย

6. ดูแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและมีบริการหลังการขาย

    เนื่องจากรถไฟฟ้าเพิ่งเข้ามาในไทยไม่นาน การพิจารณาเลือกแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่น่าเชื่อถือและได้มาตรฐานการผลิตจึงเป็นสิ่งสำคัญ รวมทั้งต้องมีศูนย์บริการหลังจากขายที่ได้มาตรฐาน สามารถช่วยเหลือเวลารถเกิดมีปัญหา เพราะไม่สามารถซ่อมรถ EV นอกศูนย์บริการได้

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้า ติดต่อได้ที่ GWM Krabi⚡

รถยนต์ไฟฟ้า เติมลมเท่าไหร่ดี ?

     แรงดันลมยางสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป (ICE) จะขึ้นอยู่กับขนาดและน้ำหนักของรถยนต์ และ ขนาดยางที่ใช้ อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างเล็กน้อยระหว่างข้อกำหนดแรงดันลมยางสำหรับรถยนต์ EV และรถยนต์ ICE ที่ควรทราบ:
⚡รถ EVs จะหนักกว่ารถเติมน้ำมัน (ICE) เนื่องจาก ชุดแบตเตอรี่ที่หนัก เป็นผลให้ต้องการแรงดันลมยางที่สูงขึ้นเล็กน้อยเพื่อรองรับน้ำหนักและรักษาการควบคุมและประสิทธิภาพที่เหมาะสม

⚡รถยนต์ไฟฟ้ายังมีลักษณะการขับขี่ที่แตกต่างจากรถ ICE ด้วยแรงบิดทันทีและการเบรกแบบใหม่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการสึกหรอของยาง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องตรวจสอบและรักษาแรงดันลมยางในรถยนต์ไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด

⚡รถยนต์ไฟฟ้ามักจะมียางต้านทานการหมุนต่ำ ซึ่งออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและระยะทางสูงสุด ยางเหล่านี้อาจต้องใช้แรงดันลมยางสูงกว่ายางทั่วไปเล็กน้อยเพื่อรักษาสมรรถนะ

    โดยรวมแล้ว แม้ว่าความต้องการแรงดันลมยางสำหรับรถยนต์ EV และ ICE อาจใกล้เคียงกัน แต่สิ่งสำคัญคือต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตและปรับแรงดันตามน้ำหนักของรถและสภาพการขับขี่ การบำรุงรักษายางเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญสำหรับยานพาหนะทั้งสองประเภท เพื่อความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และสมรรถนะสูงสุด

    สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่า แรงดันลมยางที่เหมาะสมที่สุด ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น น้ำหนักของรถ สไตล์การขับขี่ และสภาพอากาศ ตัวอย่างเช่น ในสภาพอากาศหนาวเย็น แรงดันลมยางอาจลดลงและจำเป็นต้องปรับให้เหมาะสม

    แนะนำให้ตรวจสอบแรงดันลมยางเป็นประจำ อย่างน้อยเดือนละครั้ง และปรับค่าตามความจำเป็นเพื่อให้มั่นใจในการควบคุมรถ ความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงสุด ลมยางที่เติมลมมากเกินไปหรือน้อยเกินไปอาจส่งผลต่อการควบคุมรถ การเบรก และการสึกหรอของยาง รวมทั้งลดระยะทางและประสิทธิภาพของรถด้วย

พ.ร.บ.รถยนต์ คืออะไร? ให้ความคุ้มครองอะไรบ้าง?

   พ.ร.บ.รถยนต์ หรือชื่อเต็ม ๆ คือพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ เปรียบเสมือนหลักประกันของรถทุกคันยามที่ประสบเหตุไม่คาดฝัน  ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้รถที่มีพ.ร.บ.รถยนต์ได้รับความคุ้มครองจากอุบัติเหตุ รวมถึงเงินค่ารักษาพยาบาล แม้ว่าจะไม่ได้ทำประกันรูปแบบอื่น ๆ เอาไว้ก็ตาม  แต่สุดท้ายแล้ว พ.ร.บ.รถยนต์ ยังคุ้มครอง ซึ่งความคุ้มครองที่จะได้รับหลังจากซื้อ พ.ร.บ.รถยนต์แล้ว สามารถแบ่งออกเป็น 2 ความคุ้มครอง คือ 

🚗 ค่าเสียหายเบื้องต้น ( คุ้มครองโดยไม่สนว่าถูกหรือผิด ) จาก พ.ร.บ.รถยนต์

      ค่ารักษาพยาบาลที่เกิดจากการบาดเจ็บ ( จ่ายตามจริง ) สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท
      การเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพถาวร สูงสุดไม่เกิน 35,000 บาท

🚙 ค่าเสียหายหลังจากพิสูจน์แล้วว่าเป็นฝ่ายถูก จาก พ.ร.บ.รถยนต์

      ค่ารักษาพยาบาลจากการบาดเจ็บ หรือค่าเสียหายอื่น ๆ สูงสุด 80,000 บาท
      การเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพอย่างถาวร สูงสุด 500,000 บาท
      ชดเชยรายวันวันละ 200 บาทไม่เกิน 20 วัน ( ในกรณีที่เป็นผู้ป่วยนอก – OPD )
      สรุปรวมแล้วค่าเสียหายทั้งหมดที่สามารถชดเชยให้ได้จะไม่เกิน 304,000 บาท

กฎหมายความเร็ว ต้องขับเท่าไร? ไม่ให้โดนปรับ

       กฎกระทรวงคมนาคม กำหนดให้ความเร็วขั้นสูงสำหรับการขับรถในทางหลวงแผ่นดิน และทางหลวงชนบท ที่มีทางเดินรถที่จัดแบ่งช่องเดินรถในทิศทางเดียวกันไว้ตั้งแต่ 2 ช่องเดินรถ มีเกาะกลางถนนเฉพาะแบบกำแพงกั้น และไม่มีจุดกลับรถเสมอระดับถนน ให้ขับรถแต่ละประเภทในทางเดินรถโดยใช้ความเร็วไม่เกิน ดังนี้

🚗 รถยนต์ทั่วไป ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง

🛵 รถจักรยานยนต์ทั่วไป ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง

🚚 รถบรรทุกที่มีน้ำหนักเกิน 2,200 กิโลกรัม รถบรรทุกคนโดยสารที่บรรทุกคนโดยสารเกิน 15 คน ใช้ความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง

🚛 รถในขณะที่ลากจูงรถอื่น, รถยนต์สี่ล้อเล็ก, หรือรถยนต์สามล้อ ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกิน 65 กิโลเมตร/ชั่วโมง

🏍️ รถจักรยานยนต์ ( บิ๊กไบค์ ) ที่มีกำลังเครื่องยนต์ตั้งแต่ 46 แรงม้าขึ้นไป หรือมีขนาดความจุของกระบอกสูบรวมกันตั้งแต่ 400 ซี.ซี. ขึ้นไป ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง

🚌 รถโรงเรียน หรือรถรับ-ส่งนักเรียน ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง

🚐 รถบรรทุกคนโดยสารเกิน 7 คน แต่ไม่เกิน 15 คน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง

🚜 รถแทรกเตอร์, รถบดถนน, รถใช้งานเกษตรกรรม ใช้ความเร็วไม่เกิน 45 กิโลเมตร/ชั่วโมง

    ทั้งนี้ จะมีการกำหนดความเร็วขั้นต่ำสำหรับการขับรถในช่องเดินรถช่องทางขวาสุดของทางเดินรถในทางหลวง ซึ่งจัดแบ่งช่องเดินรถในทิศทางเดียวกันไว้ตั้งแต่ 2 ช่องทางขึ้นไป โดยให้รถยนต์ที่ขับในช่องทางเดินรถช่องขวาสุดใช้ความเร็วไม่ต่ำกว่า 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
หากขับรถเร็วเกินที่กฎหมายกำหนด จะมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท

4 วิธีดูแลสีรถ ให้ใหม่อยู่เสมอ

    แสงแดดร้อนแรงในประเทศไทย ถือว่าเป็นอุปสรรคความเงางามของสีรถ วันนี้เรามีเคล็ดลับการดูแลสีรถ ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ก็ยังดูใหม่อยู่เสมอ มีอะไรบ้างมาดูกันเลย

1. หลีกเลี่ยงการจอดตากแดด

แสงแดด คือ ตัวร้ายที่คอยทำลายสีรถ ให้ซีดจางลงอยู่เสมอ ดังนั้น พยายามหลีกเลี่ยงการจอดรถตากแดดเป็นเวลานาน

2. อย่าปล่อยให้รถสกปรก นานเกินไป

สิ่งสกปรกบนสีผิวรถ ไม่ว่าฝุ่น หรือคราบใดๆ ย่อมเป็นสาเหตุให้ชั้นเคลือบสีรถเสื่อมสภาพ ทำให้ไม่มีความเงางาม

3. ล้างรถให้ถูกวิธี

การล้างรถควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน แนะนำให้ล้างจากด้านบนลงด้านล่าง และควรเช็ดน้ำออกทันที ไม่ควรปล่อยให้แห้งเอง เพราะจะเป็นรอยด่าง ไม่มีความสวยงาม

4. เคลือบสีรถ เพิ่มเกราะป้องกัน

การเคลือบสีรถ เปรียบเสมือนเกราะป้องกันให้กับสีตัวถังรถ จากคราบฝุ่นละออง และดินทรายต่างๆ รวมถึงรังสี UV จากแสงแดดอีกด้วย

เพื่อความปลอดภัย! ไม่ควรทิ้งสิ่งของเหล่านี้ไว้ในรถ

       เป็นเรื่องปกติที่ผู้ใช้รถ มักจะเก็บสิ่งของหรือสัมภาระต่างๆ เอาไว้ภายในรถ แต่รู้หรือไม่ว่า มีสิ่งของบางอย่าง ที่ไม่ควรทิ้งไว้ในรถ เพราะอาจสร้างความเสียหายให้กับรถของคุณได้

1. โทรศัพท์มือถือ

ความร้อนของแสงแดดที่ส่องเข้ามาภายในตัวรถ สามารถทำให้วงจรไฟฟ้า ของโทรศัพท์มือถือเกิดความเสียหายได้ หากเปิดเครื่องเอาไว้ด้วย
จะยิ่งเสี่ยงต่อการระเบิดของแบตเตอรี่ โดยเฉพาะโทรศัพท์รุ่นเก่า ที่มีการใช้งานยาวนาน ตัวแบตเตอรี่จะเสื่อมสภาพ เป็นฉนวนของการระเบิดได้เป็นอย่างดี

2. แผ่นยางกันลื่น

แผ่นยางกันลื่นดูเหมือนไม่สร้างปัญหาอะไรได้ แต่ก็อีกหนึ่งสิ่ง ที่ไม่ควรละเลย เพราะถ้าจอดรถไว้ในสถานที่ที่โดนความร้อนเป็นเวลานาน
อาจส่งผลให้อุปกรณ์ที่ทำจากยางเกิดการละลาย และทำให้รถของคุณเกิดความเสียหายได้

3. แบตเตอรี่สำรอง ( Power Bank )

ถ้าเผลอวางแบตสำรองไว้บนรถในช่วงที่คุณจอดรถไว้กลางแดด แบตสำรองที่โดนความร้อนนาน แบตเตอรี่จะเสื่อมเร็ว และมีอายุการใช้งานสั้น และอาจทำให้เกิดอันตรายต่อรถได้
เพราะในแบตเตอรี่สำรองมีสารลิเธียม เป็นโลหะที่ไวต่อความร้อน อาจทำให้เกิดการลัดวงจรเมื่อเจอความร้อนสูงได้

4. ไฟแช็ก

หากวางทิ้งไว้ในรถที่จอดตากแดด อาจส่งผลให้เกิดการระเบิดได้ เพราะว่า ไฟแช็ก เป็นสิ่งที่ห้ามทิ้งไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิสูงเกิน 50 องศาเซลเซียส เวลาที่เราจอดรถตากแดด ทำให้อุณหภูมิภายในรถยนต์ สามารถสูงขึ้นไปได้ถึง 60 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว

5. กระป๋องสเปรย์

เพราะกระป๋องสเปรย์ มันอาจกลิ้งเข้าไปขัดกับขาเบรก ขัดขาคันเร่ง อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ รวมไปถึงอาจเกิดการระเบิดขึ้น เมื่อโดนความร้อนมากๆ เนื่องจากในกระป๋องสเปรย์นั้นมีสารเคมีบรรจุอยู่

6. อาหาร

เพราะนอกจากจะทำให้รถสกปรกแล้ว ยังทำให้เกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ อาจส่งผลกระทบในระยะยาวต่อระบบปรับอากาศภายในรถได้ อีกทั้งยังเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค และเรียกสัตว์หรือแมลงตัวเล็ก ๆ เข้ามาในรถ ซึ่งอาจก่อความเสียหายอื่นๆได้อีกด้วย

7. ขวดน้ำพลาสติก

ขวดน้ำ เพียงขวดเดียว ก็อาจทำให้เกิดไฟไหม้รถได้ สาเหตุเกิดจาก จอดรถตากแดด และขวดน้ำนั้นทำมุมองศากับแสงแดด จนกลายเป็นการตกกระทบที่รวมแสงไว้ในที่เดียว เพียง 7 นาทีเท่านั้น ก็อาจก่อให้เกิดไฟไหม้สิ่งของภายในรถได้เลย

7 วิธีถนอมเกียร์ออโต้ ให้ใช้งานได้นานมากขึ้น

       ระบบเกียร์ออโต้ หรือเกียร์อัตโนมัติ เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนรถ รับแรงส่งจากเครื่องยนต์ไปยังล้อทั้ง 4 ด้าน ถ้าชุดเกียร์เสื่อมสภาพหรือมีปัญหา อาจต้องควักเงินก้อนโตในการซ่อมหรือเปลี่ยนชุดเกียร์ใหม่ทั้งหมด
การถนอมเกียร์ออโต้ไว้ตั้งแต่ตอนนี้ จึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่จะมีวิธีถนอมเกียร์ออโต้อย่างไร ? มาดูกันเลย
1. อย่าคิกดาวน์ ถ้าไม่จำเป็น
     กรณีขับรถเร่งแซงหรือต้องการหลบหลีกสถานการณ์บนถนนอย่างรวดเร็ว ทำให้หลายคนเหยียบคันเร่งลึกกว่าปกติเพื่อเพิ่มความเร็ว ซึ่งนั่นก็คือ การคิกดาวน์ แต่การคิกดาวน์บ่อยๆ ชุดเกียร์จะได้รับแรงบิดเพิ่มขึ้นกะทันหันแบบเกินความจำเป็นส่งผลให้ชุดเกียร์เกิดความเสียหาย สึกหรอเร็วกว่าปกติ ทางที่ดีควรค่อยๆ เพิ่มความเร็วขึ้นไปเพื่อถนอมเกียร์ไว้จะดีที่สุด
2. เหยียบเบรกก่อนเปลี่ยนเกียร์
     การเปลี่ยนเกียร์ทุกครั้ง จะต้องเหยียบเบรกก่อน เพื่อป้องกันการกระชากเกียร์ หากมีการเหยียบเบรกไว้ จะช่วยให้ระบบส่งกำลังเต็มที่ และทำงานได้อย่างลื่นไหล เป็นการถนอมชุดเฟืองเกียร์ให้มีอายุการใช้งานได้อย่างดี
3. รถติดนาน ควรเข้าเกียร์ N
     ในขณะที่รถติด แล้วเหยียบเบรกพร้อมเข้าเกียร์ D ไว้ ชุดเกียร์จะยังทำงานอยู่ และหากทำเช่นนั้นนานเกิดไป จะทำให้เกียร์ทำงานหนักและเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ฉะนั้นหากรถติดนานเกินกว่า 2 นาที แนะนำให้เข้าเกียร์ N แล้วใส่เบรกมือ (ป้องกันรถไหล) ปล่อยเบรก จะช่วยถนอมเกียร์และยืดอายุการใช้งานได้นานขึ้น
4. รอรถนิ่งก่อน ค่อยเข้าเกียร์ R
    การเปลี่ยนเกียร์เดินหน้าถอยหลัง จะเกิดแรงหมุนที่สวนทางกัน ฉะนั้นก่อนเข้าเกียร์ R ทุกครั้ง จะต้องรอให้รถหยุดนิ่ง เพื่อเป็นการถนอมเกียร์ และป้องกันอันตรายต่อชุดเฟือง สายพาน และลูกปืนต่างๆ
5. ไม่ขับลากเกียร์
    ขณะที่ความเร็มรถกำลังเพิ่มขึ้น แต่เลือกใช้เกียร์ในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง คือการขับลากเกียร์ จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนัก ส่งผลต่อชุดเกียร์ที่สึกหรอเร็วขึ้น น้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น และที่สำคัญทำให้เปลืองน้ำมันมากกว่าปกติ
6. ใช้เบรกมือ เมื่อจอดบนทางลาดชัน
    การจอดรถบนทางลาดชันโดยไม่ใช้เบรกมือร่วมด้วยกับกาารเข้าเกียร์ P จะทำให้สลักเกียร์ต้องรับน้ำหนักมากเกินไป ฉะนั้น เมื่อต้องจอดบนทางลาดชัน ควรใช้เบรกมือควบคู่กับการใส่เกียร์ P เพื่อป้องกันรถไหล และถนอมเกียร์ไม่ให้ทำงานหนัก
7. หมั่นตรวจสภาพน้ำมันเกียร์
    น้ำมันเกียร์ ควรเปลี่ยนทุกๆ 6 เดือน หรือ ปีละ 2 ครั้ง หรืออยู่ที่ประมาณ 40,000 – 60,000 กิโลเมตร จะช่วยถนอมชุดเกียร์ไว้ได้ โดยวิธีสังเกตน้ำมันเกียร์ หากเริ่มมีสีน้ำตาลหรือสีดำ
นั่นเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์แล้ว ไม่ควรปล่อยให้น้ำมันเกียร์ที่ขุ่นค้างอยู่ในเครื่องยนต์เป็นเวลานานเกินไป จะทำให้ชุดเกียร์สึกหรอได้

   จบไปแล้วกับวิธีการถนอมเกียร์ออโต้ หากทำตามนี้รับรองว่าจะช่วยยืดอายุการใช้งานของชุดเกียร์ไปได้อีกหลายปีเลยทีเดียว

error: Content is protected !!