บทความ

กระจกรถเป็นฝ้า เรื่องควรรู้ช่วงฝนตก

       ช่วงฝนตกนอกจากจะขับรถยากเพราะถนนลื่นยางไม่ค่อยเกาะถนนแล้ว ยังมีปัญหากระจกรถยนต์เป็นฝ้าทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลงอีกด้วย ซึ่งคงต้องแก้ปัญหาด้วยการขับรถอย่างระมัดระวังและช้าลง

       ฝ้าที่กระจกรถยนต์ เกิดจากอุณหภูมิความชื้นภายในและภายนอกรถแตกต่างกัน หากฝั่งไหนมีอุณหภูมิสูงกว่าฝั่งนั้นก็จะเกิดฝ้า ซึ่งก็คือฝ้าที่กระจกรถด้านนอก เกิดจากอุณหภูมิภายนอกสูงกว่าภายใน ส่วนฝ้าที่กระจกด้านในก็จะเกิดจากอุณหภูมิภายในรถสูงกว่าภายนอกนั่นเอง

การป้องกัน/การแก้ไขกรณีฝ้ากระจกเกิดด้านนอก

  1. กรณีฝนตก หากฝ้ากระจกเกิดด้านนอก ให้เปิดที่ปัดน้ำฝนปัดไปปัดมาเพียงไม่กี่ครั้งฝ้าก็จะหาย หากฝ้ากระจกเกิดขึ้นที่กระจกประตูด้านข้างด้วย ให้ลดกระจกลงจนสุดแล้วกดขึ้นตามเดิม แค่นี้ฝ้าก็จะหายไป หากเป็นที่กระจกหลังให้กดปุ่มไล่ฝ้า ซึ่งเส้นลวดทองแดงจะเกิดความร้อนจนทำให้ฝ้าหายไปได้
  2. หากฝ้าเกิดที่ด้านในรถ จะมีหลายวิธีการด้วยกัน นั่นคือ
  • ใช้ผ้าสะอาดมาเช็ดกระจกจนใสมองเห็นได้ดีเหมือนเดิม
  •  เปิดกระจกรถทุกด้านให้อากาศด้านนอกได้เข้ามาหมุนเวียน เมื่ออุณหภูมิใกล้เคียงกัน ฝ้าก็จะหายไป
  • เพิ่มหรือลดอุณหภูมิที่แอร์ให้ใกล้เคียงกับภายนอก
  • ปรับทิศทางลมของช่องแอร์ไม่ให้หันไปทางกระจก
  • หมุนปรับสวิตช์ เปิดรับอากาศจากด้านนอกเข้ามาในห้องโดยสาร

         วิธีทั้งหมดนี้น่าจะทำให้ฝ้าที่กระจกรถหายไปได้ แต่หากทำแล้วฝ้าก็ยังเกิดขึ้นอีก หรือไม่ค่อยจะหายไปง่าย ๆ แนะนำให้แวะนำรถเข้าไปจอดปั๊ม จุดพักรถ หรือร้านอาหาร รอให้ฝนซาลงจึงค่อยไปต่อน่าจะดีที่สุด

บทความ

ยางรถยนต์ไฟฟ้าต่างจากยางทั่วไปอย่างไร?

       แม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะมีรูปลักษณ์หน้าตาแทบไม่ต่างไปจากรถยนต์สันดาป แต่คุณสมบัติเฉพาะตัวของรถยนต์ไฟฟ้าจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนยางที่ออกแบบมาสำหรับรถ EV โดยเฉพาะ เพื่อรองรับประสิทธิภาพการทำงานของตัวรถได้อย่างเหมาะสมนั่นเอง

  1. รองรับน้ำหนักที่มากกว่า

        รถยนต์ไฟฟ้ามีน้ำหนักมากกว่ารถยนต์สันดาปอย่างเห็นได้ชัด อันเป็นผลมาจากการติดตั้งชุดแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ซึ่งอาจมีน้ำหนักตั้งแต่ 500 กก. ไปจนถึง 1 ตัน หรือมากกว่านั้น ยางที่ใช้จึงจำเป็นต้องออกแบบมาเพื่อรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัยทุกย่านความเร็ว

  1. รองรับแรงบิดที่สูงกว่า

        รถยนต์ไฟฟ้าสามารถสร้างแรงบิดสูงสุดจากชุดมอเตอร์ได้ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที (Instant Torque) ยางที่ใช้จึงจำเป็นต้องรองรับแรงบิดมหาศาลที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการทำงานของรถยนต์ไฟฟ้าจะทำให้ดอกยางสึกเร็วขึ้นสูงสุดถึง 20% จึงจำเป็นต้องเติมสารประกอบพิเศษลงไปในเนื้อยาง เพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้น

  1. ลดแรงต้านทานการหมุนได้ดีกว่า

 

       เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้ามีความอ่อนไหวต่อปัจจัยภายนอกหลายประการ ที่อาจส่งผลต่อระยะทางขับขี่ โดยเฉพาะหลักอากาศพลศาสตร์ และแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นจากพื้นถนน ยางรถยนต์ไฟฟ้าจึงออกแบบให้มีแรงต้านทานการหมุนต่ำ จะช่วยรักษาระยะทางขับขี่ให้ได้ตามที่ผู้ผลิตเคลมไว้

  1. เสียงรบกวนต่ำกว่า

 

        เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าไม่มีกระบวนการเผาไหม้เหมือนกับรถน้ำมันทั่วไป ทำให้รถไฟฟ้ามีการทำงานที่เงียบสนิท ผู้ขับขี่และผู้โดยสารจึงมีโอกาสได้ยินเสียงรบกวนที่เกิดขึ้นได้ง่ายกว่า ดังนั้นยางรถยนต์ไฟฟ้าจึงถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อลดเสียงรบกวนให้น้อยที่สุดนั่นเอง

บทความ

4 สาเหตุว่าทำไมรถบางคันขับทางไกลแล้วรู้สึกเหนื่อย

ช่วงล่างแข็งกระด้าง

     รถแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อก็มีการเซ็ตช่วงล่างแตกต่างกันออกไป เพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าแต่ละแบบ หากว่านำรถที่เซ็ตช่วงล่างแข็งกระด้างเพื่อเน้นฟีลลิ่งแบบสปอร์ตมาขับทางไกลแล้วล่ะก็ แรงสะเทือนจากพื้้นถนนที่สะท้อนขึ้นห้องโดยสารอย่างต่อเนื่องจะทำให้รู้สึกไม่สบายในการขับขี่ ถือเป็นเหตุผลหลักว่าทำไมการขับรถทางไกลถึงรู้สึกเหนื่อยกว่าปกติ เพราะรถที่ขับอยู่นั้นถูกเซ็ตช่วงล่างเพื่อให้ขับสนุกนั่นเอง

ฐานล้อสั้น

     รถยนต์ขนาดเล็กโดยเฉพาะรถกลุ่ม B-segment มักมีฐานล้อค่อนข้างสั้นเพื่อเน้นความคล่องตัวในเมือง การนำมาขับต่อเนื่องเป็นระยะทางไกลๆ จะทำให้ผู้ขับขี่ต้องใช้สมาธิในการควบคุมรถมากกว่าปกติ เพื่อไม่ให้รถมีอาการวอกแวกที่ความเร็วสูง จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุว่าทำไมการขับรถเล็กจึงไม่เหมาะสำหรับการวิ่งทางไกลเหมือนกับรถรุ่นใหญ่

พละกำลังเครื่องยนต์ไม่เพียงพอ

     รถยนต์ที่มีพละกำลังของเครื่องยนต์ไม่เหมาะสมกับน้ำหนักตัวรถ จะทำให้การขับขี่รู้สึกอืดกว่าปกติ การเร่งแซงที่ความเร็วสูงเป็นไปอย่างลำบาก เพราะกำลังของเครื่องยนต์ไม่เพียงพอ แม้ว่าจะคิกดาวน์ก็ทำให้เครื่องยนต์เกิดเสียงดังน่ารำคาญ แถมยังเพิ่มอัตราการสึกหรอของเครื่องยนต์และระบบเกียร์มากกว่าปกติอีกด้วย

ห้องโดยสารมีเสียงดัง

     การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารถือเป็นสิ่งสำคัญกว่าที่หลายคนคิด เพราะหากรถมีการเก็บเสียงที่แย่ จะทำให้ผู้ขับขี่เกิดความรู้สึกรำคาญอย่างไม่รู้ตัว ทำให้การขับรถไกลรู้สึกไม่สบายเท่าที่ควร ยิ่งรถคันไหนขาดการดูแลระบบเครื่องยนต์และช่วงล่าง อาจทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนส่งมายังพวงมาลัย เมื่อต้องจับพวงมาลัยต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานก็ทำให้รู้สึกไม่สบายได้เช่นกัน

บทความ

ทำไมยางรถยนต์ต้องเป็นสีดำ

        ถึงเวลาเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่ เจ้าของรถทุกคนย่อมมองหายางที่มีคุณภาพเพื่อเปลี่ยนให้กับรถยนต์ของตนเอง แต่นอกจากเรื่องของคุณภาพแล้ว เชื่อว่ามีหลายคน โดยเฉพาะคนที่ชอบตกแต่งรถยนต์ คงเคยสงสัยว่า หากต้องการหายางรถยนต์ที่มีสีสันสดใสมาใส่ให้รถของเราบ้างได้หรือไม่? แล้วทำไมยางรถยนต์ต้องเป็นสีดำอย่างเดียวเท่านั้น และการที่ยางรถยนต์มีสีดำจะมีประโยชน์อย่างไร? เราจะพาไปทำความรู้จักกับ Carbon Black 
      Carbon Black (คาร์บอน แบล็ก) คือ สสารเกิดจากการเผาไหม้อย่างไม่สมบูรณ์ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม มีลักษณะเป็นเม็ดผงละเอียดสีดำ มีขนาดเท่า ๆ กัน มีคุณสมบัติทนต่อแรงเสียดทาน และมีความยืดหยุ่นสูง ผู้ผลิตยางจึงมักนำมาผสมในเนื้อยาง โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นดอกยางจะมีคาร์บอนแบล็กเป็นองค์ประกอบถึง 25% และการผสมคาร์บอนแบล็กลงในเนื้อยาง คือสาเหตุว่าทำไมยางรถยนต์ต้องเป็นสีดำนั่นเอง

บทความ

วิธีการเช็คยางรถยนต์

    เพราะช่วงหน้าฝนนั้นมีอุบัติเหตุที่เกิดจากถนนลื่น ถนนเปียกอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ผู้ขับขี่ต้องหันมาใส่ใจกับการตรวจสอบคุณภาพยางรถยนต์ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันและช่วยลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุ อย่างการเช็กดอกยางรถยนต์เป็นประจำ ก็เป็นสิ่งที่คุณสามารถทำเองได้ง่าย ๆ และถ้าหากพบว่าดอกยางรถยนต์ของคุณมีความตื้น ก็ควรรีบเปลี่ยนยางโดยด่วน เพื่อความปลอดภัยกับทุกการขับขี่ของคุณ

วิธีการเช็คยางรถยนต์โดยปกติ
    ควรตรวจเช็คสภาพดอกยางทุก 6 เดือน หรือทุก 10,000 กิโลเมตร เพื่อตรวจดูว่าดอกยางเสื่อมไหม ดอกยางรถยนต์ยังเท่ากันหรือไม่ สำหรับการตรวจเช็คดอกยาง ควรสังเกตว่ายางรถยนต์ของเรามีดอกยางสึกหรอผิดปกติ หรือเหลือต่ำสุดที่ 1.6 มิลลิเมตร ดูได้จากบริเวณสะพานยางหรือบริเวณที่มีลักษณะเป็นสันนูนที่ร่องยาง หากเช็คดอกยางแล้วพบว่ายางสึกจนสามารถมองสะพานได้แล้ว หรือยางรถยนต์มีรอยแตกร้าว แปลว่ายางเส้นนั้นหมดอายุการใช้งานแล้วและเป็นถึงเวลาที่คุณต้องเปลี่ยนยางรถยนต์เส้นใหม่แล้ว

บทความ

หาก “รถ EV” ลุยน้ำท่วม , ฝนตกหนัก จะพังหรือเสี่ยงไฟช็อตหรือไม่?

      หลากหลายคนที่ใช้รถยนต์ EV หรือกำลังตัดสินใจที่จะซื้อ มักมีความสงสัยเกี่ยวกับการใช้งาน เนื่องจากสภาพท้องถนนในประเทศไทยที่น้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ อาจทำให้ต้องกังวลเกี่ยวกับการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากกว่าประเทศอื่นๆ

     ทุกคนจะรู้กันดีว่าไฟฟ้ากับน้ำเป็นคู่กัดกันมายาวนาน จากเหตุอันตรายและเคสต่างๆ แน่นอนว่ามาตรฐานรถยนต์ไฟฟ้าจะต้องถูกนำคิดและคำนึงถึงเรื่องนี้อยู่แล้ว

     แต่ไม่ได้แปลว่าจะปลอดภัย 100% เมื่อรถยนต์ไฟฟ้าต้องลุยน้ำหรือจอดแช่ในน้ำ มีปัจจัยหลากหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการขับขี่จริง ความสูงต่ำของพื้นที่ขับขี่ และกระแสความแรงของน้ำต่างๆที่อาจเป็นปัจจัยทำให้น้ำเข้าสู่รถในส่วนต่างๆ
ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ได้การันตีมีการทดสอบการกันน้ำในระดับ 50 เซนติเมตร เป็นเวลา 30 นาที แต่น้ำก็ไม่สามารถเข้าไปในแบตเตอรี่ได้

     ยกตัวอย่างมาตรฐานการกันน้ำของมอเตอร์ไฟฟ้า หรือกล่องควบคุม มักจะอยู่ที่ IP67 ซึ่งต้องเช็กกันอีกทีว่าสามารถกันน้ำกระเด็น , ลุยน้ำชั่วคราว ซึ่งแปลว่า รถ EV” ไม่สามารถลุยน้ำได้ ซึ่งหากจำเป็นต้องใช้งานจริงก็คงไม่มีปัญหา แต่ไม่ถึงกับสามารถจอดแช่น้ำได้

     สถานการณ์ฝนตกหนักในช่วงนี้ ในส่วนของการชาร์จไฟกับรถ EV เสียบสายชาร์จก่อนฝนตก และสามารถชาร์จได้กลางสายฝนโดยไม่มีปัญหา แต่หากฝนตกอยู่แล้วแนะนำให้รอฝนหยุดก่อนจะเสียบชาร์จจะปลอดภัยกว่า

     เกรท วอลล์ มอเตอร์ ระบุว่า รถยนต์ไฟฟ้าสามารถใช้งานได้ตามปกติแม้โดนฝน เพราะมอเตอร์ แบตเตอรี่ และอุปกรณ์เชื่อมต่อระบบไฟฟ้า ต่างได้รับการกป้องเป็นอย่างดีด้วยฉนวนไฟฟ้า รวมถึงมีเซ็นเซอร์ตรวจจับไฟฟ้ารั่ว และระบบป้องกันการลัดวงจรลงดิน (Ground Fault Protection)

     ส่วนรายละเอียดต่างๆว่า ORA Good Cat EV สามารถขับลุยน้ำท่วมได้หรือไม่ แช่น้ำได้นานขนาดไหน กี่นาที มีดังนี้

   ORA Good Cat EV มีกล่องหุ้มเซลล์แบตเตอรี่ที่แข็งแรง รองรับความปลอดภัยทางไฟฟ้า 5 ด้าน ได้แก่ การป้องกันน้ำ การกัดกร่อน การชน การกระแทก และการเกิดเพลิงไหม้ โดยหากเกิดการชนที่กระทบแบตเตอรี่ รถยนต์จะดับภายใน 50 มิลลิวินาทีเพื่อความปลอดภัย และยังมีการควบคุมอุณภูมิและการระบายความร้อนที่ดี 

    EV สามารถชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในขณะฝนตกได้ โดยแท่นชาร์จจากหลายบริษัทได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดีตามมาตรฐาน และมีระบบป้องกันหรือที่ครอบซึ่งจะมีช่องที่สามารถระบายน้ำได้ ถึงแม้ในช่วงฝนตกหรือมีน้ำขังที่เต้ารับ ก็วางใจได้ว่าจะไม่มีน้ำขังอยู่ที่บริเวณหัวประจุ และมีการติดตั้งระบบตัดไฟรั่วและลงสายดินไว้เช่นกัน

    ตัวรถส่วนใหญ่ยังมีซีลกันน้ำที่สามารถกันฝุ่นและกันน้ำสาดได้ ซึ่งจะช่วยป้องกันน้ำฝนกระเด็นเข้าไปยังขั้วชาร์จไฟฟ้าได้  รวมถึงระบบเซ็นเซอร์จะตัดกำลังไฟฟ้าทันทีหากพบกระแสไฟรั่วไหลในวงจร  เพียงแต่ผู้ใช้งานสามารถเพิ่มความปลอดภัยได้ด้วยการสำรวจบริเวณแท่นชาร์จ หัวประจุ และสายไฟทุกครั้งก่อนชาร์จว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์หรือไม่ รวมถึงเช็ดทำความสะอาดบริเวณจุดที่ชาร์จให้แห้งก่อนปิดฝา

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังรายงานว่า รถยนต์ไฟฟ้า EV สามารถขับได้อย่างปลอดภัยในสภาวะน้ำท่วม

     ระบบในรถได้รับการปกป้องเป็นอย่างดีและป้องกันสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในระบบ เพราะมีการทดสอบ IP Rating (Ingress Protection) ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานในการป้องกันของแข็งและของเหลวเล็ดลอดเข้าภายในตัวรถ ซึ่งค่ามาตรฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยทั่วไปอยู่ที่ IP67 การันตีว่า EV สามารถป้องกันความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วมไม่เกิน 1 เมตรได้ ภายในเวลาไม่เกิน 30 นาที โดย ORA Good Cat ใช้แบตเตอรี่ที่ได้มาตรฐาน IP67 เช่นกัน โดยสามารถกันน้ำจากการแช่น้ำความลึกไม่เกิน 1 เมตรได้สูงสุด 30 นาที และยังสามารถกันฝุ่นได้อย่างสมบูรณ์ และ EV ยังสามารถขับลุยน้ำได้ลึกถึง 40 เซ็นติเมตร

    หากจำเป็นต้องขับรถขณะน้ำท่วม ผู้ใช้งานควรเพิ่มความระมัดระวังยิ่งขึ้น ค่อยๆ ขับโดยใช้ความเร็วต่ำ คอยระวังสิ่งกีดขวางบนท้องถนน เช่น ท่อนไม้ หรือก้อนหิน ซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้กับแบตเตอรี่ได้ และพยายามไม่จอดรถค้างไว้เป็นเวลานาน

บทความ

5 เทคนิคขับรถให้ปลอดภัยช่วงหน้าฝน

      1. เปิดไฟหน้า และไฟท้ายรถ

          ในช่วงที่ฝนตกหนักๆ หรือโดยเฉพาะตกในช่วงกลางคืนส่งผลให้ทัศนวิสัยวิสัยในการมองเห็นแย่ยิ่งขึ้นกว่าปกติมาก ดังนั้นการเปิดไฟหน้า และไฟท้ายรถช่วยให้เรามองเห็นรถคันหน้า และรถคันหลังมองเห็นเราได้มากขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้มากขึ้น ซึ่งการเปิดสัญญาณไฟหน้านั้น มีเทคนิคในการปฎิบัติดังนี้
     
   • การเปิดไฟหน้ารถควรเปิดไฟปกติ หรือหากมีไฟตัดหมอกสามารถใช้ได้ครับ แต่มีข้อควรระวังคือไม่ควรเปิดไฟฉุกเฉินในระหว่างที่ขับรถตอนฝนตก เนื่องจากจะทำให้รถที่ขับตามมา มองไม่เห็นว่าเรากำลังจอด หรือขับอยู่ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุชนท้ายได้
       
 • ไม่ควรใช้ไฟสูง เพราะแสงไฟจะส่องแยงตารถที่ขับสวนมา ทำให้การมองเห็นพล่ามั่วไม่ชัด อาจเป็นสาเหตุนำมาสู่การเกิดอุบัติเหตุได้ครับ

  1. เปิดที่ปัดน้ำฝนให้แรงพอดี

         กระจกหน้ารถถือเป็นเสมือนดวงตาของเรา ดังนั้นเราควรเปิดที่ปัดน้ำฝนให้พอดีสัมพันธ์กับความแรงและปริมาณของฝนที่ตกลงมา เพื่อให้กระจกสะอาดเพื่อให้เราสามารถมองเห็นเส้นทางได้ชัดมากขึ้น

  1. รักษาระยะห่างกับรถคันหน้าให้พอดี

         เมื่อเวลาฝนตกนั้น สิ่งที่ส่งผลตามเลยคือถนนลื่นมากขึ้นครับ ดังนั้นเราควรเว้นระยะห่างกับคันหน้ามากกว่าปกติประมาณ 2 เท่า เพื่อเพิ่มระยะเบรกของเรา ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินจะได้สามารถหยุดรถได้ทัน ช่วยลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุได้ครับ

  1. ควบคุมความเร็วในการขับขี่

          ในขณะที่ฝนตกถนนลื่นหากเราขับรถในความเร็วสูง ไม่ระมัดระวังก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้มากขึ้นครับ เพราะรถมีโอกาสที่จะเสียการควบคุม ลื่นไถลได้ง่าย ดังนั้นเราควรรักษาความเร็วให้อยู่ที่ประมาณ 60 กม./ชม. รวมทั้งปฎิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยมากขึ้นครับ

  1. หลีกเลี่ยงบริเวณน้ำท่วมขัง

              ในช่วงหน้าฝนหลายๆ พื้นที่อาจจะมีน้ำท่วมขังเกิดขึ้นได้ แนะนำให้ทุกท่านหลีกเลี่ยงหรือรถความเร็วลงในบริเวณดังกล่าว เพราะหากน้ำกระเด็นเข้าเครื่องยนต์อาจจะส่งผลให้เกิดความเสียหายกับรถยนต์ได้ครับ

บทความ

ตัวช่วยแก้ง่วง ระหว่างขับรถทางไกล

  1. ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น หากผู้ขับขี่รู้สึกง่วงหรือเหนื่อยล้าขณะเดินทาง เราขอแนะนำให้ลองแวะปั๊มน้ำมันข้างทาง แวะล้างมือล้างหน้าให้รู้สึกกระปรี้กะเปร่า หรือยังไม่ค่อยหายง่วงดีให้ใช้น้ำเย็นล้างหน้าแล้วเดินเล่นสักพักค่อยกลับไปขับรถต่อ
  2. ก่อนออกเดินทางอย่าลืมพกผ้าเย็นหรือยาดม เลือกกลิ่นสมุนไพรเย็น ๆ เพื่อเพิ่มความสดชื่นขณะขับขี่
  3. จอดแวะยืดเส้นยืดสาย การขับรถนั่งท่าเดิมนาน ๆ อาจจะทำให้ปวดหลัง ปวดเท้า แล้วยังง่วงอีกด้วย จอดแวะข้างทางยืดแขนขาสัก 5-10 นาที พอให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น จะช่วยไล่ความง่วงได้เป็นอย่างดี
  4. หากยังง่วงอยู่อีกลองหาเครื่องดื่ม ชา กาแฟ เย็น ๆ มาช่วยกระตุ้นเพื่อให้สมองตื่นตัว
  5. ถ้าไม่ดื่มกาแฟ แนะนำให้เลือกเครื่องดื่มชูกำลังแทน ค่อย ๆ จิบทีละนิดก่อน เพื่อให้สมองตื่นตัว
  6. กินผลไม้เปรี้ยว ๆ ไม่ว่าจะเป็น มะขาม มะม่วงเปรี้ยว ถือเป็นตัวช่วยชั้นดีระหว่างขับรถทางไกล
  7. ลองเปิดเพลงสนุก ๆ ช่วยสร้างบรรยากาศระหว่างการขับรถให้ไม่น่าเบื่อ เท่านี้ก็ช่วยให้รู้สึกตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา แถมยังสนุกอีกดเวย
  8. หากมีเพื่อนมาด้วย หาเรื่องมานั่งคุยกันไปเรื่อย ๆ ตลอดการเดินทาง ก็ช่วยให้เราหายง่วงไปได้
  9.  ฟังวิทยุหรือพอดแคสต์ เลือกรายการวิทยุหรือพอดแคสต์ที่ชอบ ค่อย ๆ ฟังเรื่องเล่าไปเรื่อยๆ ก็เหมือนมีเพื่อนคุยด้วยระหว่างทาง ช่วยดึงสมาธิได้เป็นอย่างดี หายง่วงและขับรถได้แบบมีสติแน่นอน
  10. หากลองมาทุกข้อแล้วยังง่วงอยู่ ควรจอดแวะงีบสัก 25-30 นาที ไม่ควรฝืนขับต่อเพราะอาจทำให้ผู้ขับขี่มีอาการหลับในและเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้
บทความ

เบรกมือรถยนต์ ใช้อย่างไรให้ถูกวิธี

       การลืมดึงเบรกมือเป็นอีกหนึ่งความประมาทเพียงเล็กน้อยที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ รถไหลไปชนกับรถคันอื่นหรือชนสิ่งกีดขวางจนได้รับความเสียหาย การดึงเบรกมือจึงเป็นเรื่องสำคัญต่อความปลอดภัย วันนี้เราจะมาแนะนำการใช้เบรกมืออย่างถูกวิธี มีขั้นตอนอะไรบ้างไปดูกันเลย

เบรกมือรถยนต์ ใช้อย่างไรให้ถูกวิธี

 เบรกมือมีกี่แบบ?

1. แบบคันโยก ดึงเบรกมือขึ้นจนสุด จนมีเสียงดังแกร๊ก ถ้ายกเบรกมือขึ้นไม่ได้อีก แสดงว่าดึงเบรกมือจนสุดแล้วนั่นเอง

2. แบบสวิตช์หรือปุ่มกด กดหรือดึงสวิตช์ จะมีสัญลักษณ์ตัว (P) ที่ตัวปุ่มเมื่อมีการเปิดใช้งาน

ควรใช้เบรกมือตอนไหน?

1. เวลาจอดรถ เพื่อความปลอดภัยควรดึงเบรกมือทุกครั้ง 

2. กรณีฉุกเฉิน เช่นเบรกเท้ามีปัญหา หากต้องใช้เบรกมือแทน ควรระวังอย่างยิ่ง เพราะเบรกมือสามารถเบรกได้แค่ล้อหลังเท่านั้น หากดึงเบรกมือแล้วล้อรถฟรี จะทำให้รถเสียการควบคุมได้

3. ระหว่างจอดรถรอไฟแดง เพื่อป้องกันรถไหล เนื่องจากพื้นถนนไม่สม่ำเสมอหรือลาดเอียง

4. กรณีจอดอยู่บนทางลาดชัน หรือตีนสะพาน เพื่อป้องกันไม่ให้รถไหลไปชนคันข้างหน้าหรือข้างหลังได้

บทความ

รถจอดนิ่ง ทำไมพัดลมแอร์ทำงาน ?

          รถยนต์ในปัจจุบันอัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ มากมาย ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า เทคโนโลยีทั้งหลายเหล่านั้น ผู้ใช้รถอย่างเราอาจยังไม่คุ้นชินกับเทคโนโลยีเหล่านี้ เนื่องจากเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดเลยก็ว่าได้ ด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐในเรื่องมาตรการ EV 3.0 ทำให้หลายๆ คนตัดสินใจเปลี่ยนรถ ซึ่งถือเป็นการก้าวกระโดดของเทคโนโลยี เพราะจากรถที่มีระบบอำนวยความสะดวก หรือความปลอดภัยในระดับพื้นฐาน พอมาเจอระบบใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ จึงสับสน และกังวล เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างแตกต่างไปจากรถยนต์ที่เคยสัมผัสมาตลอด ลองมาดูว่ามีเทคโนโลยีอะไรบ้าง ที่ทำให้หลายคนเข้าใจผิด และรู้สึกกังวลใจในการใช้งาน

รถจอดเฉยๆ แต่ระบบไฟฟ้าทำงาน ?

        ในรถยนต์ปกติทั่วไปนั้น เราเคยชินว่าเมื่อลอครถจอดเอาไว้แล้ว โดยปกติรถจอดนิ่ง ต้องไม่มีระบบใดทำงาน หรือส่งเสียงให้เรารู้สึก ไม่ว่าจะเป็นพัดลมไฟฟ้า ระบบแอร์ทำงาน มีน้ำแอร์หยด หรือมีเสียงอะไรดังมาจากตัวรถ ถ้าจะมีก็ควรจะมีแต่ระบบกันขโมยทำงานเพียงอย่างเดียว คราวนี้รถยนต์ที่ใช้แบทเตอรี และต้องมีการชาร์จไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นรถ BEV ที่เราคุ้นเคยกันว่า “รถไฟฟ้า 100 %” รถ FHEV หรือ “รถพลัก-อิน ไฮบริด” รถกลุ่มนี้ ต้องมีการชาร์จไฟ หรือประจุแบทเตอรี ประเด็นนี้ที่ทำให้หลายคนสงสัย เพราะจอดรถชาร์จตอนกลางคืน แล้วได้ยินเสียงเหมือนพัดลมทำงาน ได้ยินเสียงคอมเพรสเซอร์ทำงาน หรือเห็นมีร่องรอยของน้ำหยดลงที่พื้น

       ทำไมรถดับเครื่องแล้วล็อครถไว้ ระบบเหล่านี้จึงทำงาน การชาร์จแบทเตอรีรถยนต์นั้น ก็ไม่ต่างอะไรจากการชาร์จโทรศัพท์มือถือ เมื่ออุณหภูมิแบทเตอรีร้อนมากขึ้น ระบบก็จะมีการลดกระแสในการชาร์จ เพื่อลดอุณหภูมิของแบทเตอรี เพื่อป้องกันความเสียหาย หรือการลุกไหม้ 

       ในสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ แบทเตอรีเมื่อประจุถึง 80 % ระยะเวลาในการชาร์จจะนานขึ้น เพื่อลดอุณหภูมิของแบทเตอรี ในรถยนต์ BEV และ PHEV ก็เช่นกัน แต่การอัดประจุไฟฟ้าเข้าแบทเตอรีรถยนต์นั้น อุณหภูมิของแบทเตอรีจะสูงมาก เพื่อป้องกันความเสียหายทั้งเรื่องของการเสื่อมสภาพ และปัญหาความร้อนอันจะทำให้เกิดอุบัติเหตุถึงขั้นลุกไหม้ได้ 

ความเย็นจากระบบแอร์ คือ คำตอบ

      ทางแก้ไข คือ การลดกำลังไฟในการชาร์จลง แต่คงไม่เหมาะกับการใช้งาน เพราะเราคงต้องใช้เวลาชาร์จกันมากขึ้นหลายเท่าตัว ดังนั้น การแก้ไขที่ถูกต้อง คือ ต้องมีการระบายความร้อนของแบทเตอรี เป็นการควบคุมอุณหภูมิของแบทเตอรีให้อยู่ในอุณภูมิที่เหมาะสม ถ้าเป็นประเทศเมืองร้อนอย่างบ้านเรา จะใช้การระบายความร้อนผ่านระบบหล่อเย็นด้วยน้ำ หรือใช้ความเย็นจากระบบแอร์มาช่วยในการระบายความร้อนของแบทเตอรี ส่วนในเมืองหนาวนั้นต้องมีการอุ่นแบทเตอรี เพื่อให้มีอุณหภูมิที่เหมาะสมในการชาร์จ การอุ่นนั้นระบบจะต้องมีการเปิดการทำงานของระบบฮีทเตอร์เพื่อให้เกิดความร้อน 

       ดังนั้น รถยนต์ในกลุ่มนี้แม้เราจอดไว้เฉยๆ แต่มีการเสียบชาร์จ ก็ไม่แปลกที่จะมีบางระบบทำงานดังที่กล่าวมา หรือบางครั้ง รถที่มีระบบการอัพเดทข้อมูลผ่านอินเตอร์เนท เมื่อมีการอัพเดทอัตโนมัติ อาจจะมีการติดสว่างของหน้าจอ หรือมีไฟกะพริบขึ้นมา จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องศึกษาข้อมูลให้ละเอียด จะได้ไม่กังวลใจในการทำงานแบบอัตโนมัติของตัวรถ 

error: Content is protected !!