วิธีการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกต้อง
1.อย่าปล่อยให้แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเหลือ 0%
หลีกเลี่ยงการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าจนแบตเตอรี่หมดเกลี้ยง 0% แล้วถึงจะทำการชาร์จไฟ เพราะจะทำให้แบตเตอรี่รถยนต์ทำงานหนักจนร้อนเกินไปเมื่อทำการชาร์จไฟฟ้า และจะส่งผลทำให้แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเสื่อมได้ในที่สุด ทางที่ดีพยายามรักษาแบตเตอรี่รถให้อยู่ที่ 20% แล้วทำการชาร์จจะดีที่สุด
2.ไม่ควรชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็ม 100%
การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้เต็ม 100% เสี่ยงต่อการที่จะทำให้แบตเตอรี่ของรถเสื่อมเร็ว โดยมีผลการทดลองมาแล้วว่าการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะสมคือ ควรชาร์จไฟแบตเตอรี่รถให้อยู่ระหว่าง 80%-90% เพื่อระบบ Regenerative braking (ระบบเบรกเพื่อชาร์จไฟ) สามารถทำงานได้ทันที และยังเป็นการช่วยยืดอายุการใช้งานของผ้าเบรกอีกด้วย
3.เลี่ยงการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในบริเวณที่อุณหภูมิสูง
หากเราทำการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากลางแจ้งที่มีอุณหภูมิสูง อากาศที่ร้อนจัด จะเสี่ยงที่จะทำให้อายุของแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมได้ไวขึ้น ควรจอดชาร์จไฟในพื้นที่ร่มเพื่อให้การชาร์จแบตเตอรี่มีประสิทธิภาพที่ดี รวมไปถึงการเลี่ยงการจอดรถยนต์ตากแดดเป็นระยะเวลานานด้วย
4.ไม่ควรชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าระบบ DC บ่อย
การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าระบบ DC นั้นเป็นการช่วยทำให้แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเต็มได้อย่างรวดเร็ว ช่วยประหยัดเวลาก็จริง แต่ก็อาจทำให้แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเสื่อมได้ไวขึ้น หากชาร์จไฟฟ้าระบบ DC บ่อยจนเกินไป เนื่องจากขณะที่ชาร์จไฟระบบ DC จะเกิดอุณหภูมิสูง ทำให้แบตเตอรี่ต้องทำงานหนัก ยิ่งหากเจออากาศที่สูงด้วยแล้ว ก็อาจจะไม่ส่งผลดีกับแบตเตอรี่รถนั้นเอง
เกิดภัยธรรมชาติแบบไหน ที่ประกันภัยรถยนต์คุ้มครอง
ในประเทศไทยมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นตามฤดูกาล ที่สร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินจนกลายเป็นภัยพิบัติ อาทิ อุทกภัย วาตภัย ดินโคลนถล่ม แผ่นดินไหว ภัยแล้ง และไฟป่า เป็นต้น แล้วภัยธรรมชาติแบบไหนบ้างที่บริษัทประกันภัยรถยนต์จะทำหน้าที่คุ้มครองผู้ขับขี่และรถยนต์ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงบ้าง
1.อุทกภัย ทุกปีจะเกิดฝนตกน้ำท่วม รถยนต์จมน้ำจำนวนมาก เสียหายน้อยจนถึงหนัก หากทำประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ถือเป็นประกันรถยนต์ที่มีความคุ้มครองมากที่สุด และประกันชั้น 2+ ของบางแห่งก็คุ้มครองด้วยเช่นกัน เคลมความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมถึงค่ารักษาพยาบาล ประกันอุบัติเหตุ
2.วาตภัย ลมพายุที่หอบทั้งลมฝน ลูกเห็บ ความแรงของพายุสามารถถอนโค่นต้นไม้ใหญ่ได้ ยังทำให้ตัวบ้านพังเสียหายในพริบตา ส่วนรถยนต์ที่เสียหายก็จะได้รับการคุ้มครองจากประกันชั้น 1 และประกันรถยนต์ชั้น 2+ รวมถึงค่ารักษาพยาบาล ประกันอุบัติเหตุ และประกันตัวผู้ขับขี่
3.แผ่นดินไหว เป็นภัยธรรมชาติที่ไม่สามารถพยากรณ์ได้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ยังมีอาฟเตอร์ช็อกตามมา ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในภาคเหนือ เพราะมีรอยเลื่อนที่ยังมีพลังหลายจุดพร้อมจะเขย่าแผ่นดินได้เสมอ ระดับความสั่นสะเทือนมีสร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน กรณีรถยนต์ประสบเหตุแผ่นดินไหว ทำประกันชั้น 1 และประกันรถยนต์ชั้น 2+ จะได้รับการดูแลทั้งชีวิตและทรัพย์สินตามที่ระบุในกรมธรรม์ทุกประการ
4.ดินโคลนถล่ม ทั้งก้อนหินดินโคลนที่ไหลหรือร่วงหล่นลงมาจากที่สูง เป็นอันตรายต่อการขับขี่บนท้องถนน หากรถเสียหายจากดินโคลนถล่ม ทำประกันรถยนต์ชั้น 1 อุ่นใจกว่า ครอบคลุมความคุ้มครองเรื่องดินโคลนถล่มแน่นอน
5.อัคคีภัย ไฟป่าที่เกิดจากความแห้งแล้งธรรมชาติ กิ่งไม้เสียดสีกัน หรือฟ้าผ่าลงใส่ทำให้เกิดไฟไหม้ เมื่อรถยนต์คันโปรดต้องประสบเหตุภัย ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ก็ตามมาคุ้มครองให้ บางบริษัทประกันภัยยังมีประกันชั้น 2 และ 2+ ครอบคลุมไฟไหม้ด้วยเช่นกัน ลดความเสียหายที่เกิดขึ้นตามเงื่อนไข
6.อุกกาบาต หรือเศษซากกระสวยอวกาศจากนอกโลกตกใส่รถยนต์ ถือเป็นเรื่องที่เกิดจากภัยธรรมชาติ แม้โอกาสเกิดขึ้นเกือบเป็นศูนย์ แต่ประกันชั้น 1 ก็ครอบคลุมไปถึง รับรองเคลมให้
สรุปแล้ว ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 จะให้ความคุ้มครองอย่างครบถ้วน ทั้งความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งร่างกาย ชีวิต และทรัพย์สินของเราและของคู่กรณี ขณะที่การทำประกันภัยรถยนต์ ชั้น 2+ ถือว่ามีความคุ้มครองที่ค่อนข้างสูงเช่นกัน แต่จำกัดโดยทุนประกันและมีเงื่อนไข ขอให้ศึกษารายละเอียดจากบริษัททำประกันภัยอีกครั้ง
กรณีที่บริษัทประกันภัยไม่สามารถปฏิบัติตามกรมธรรม์ที่ทำกันไว้ ต้องพิจารณาอย่างละเอียดหากพบข้อสงสัย เช่น พบว่ามีความประมาทเลินเล่อ เจตนาหรือจงใจไม่หลบเลี่ยงภัยพิบัติต่าง ๆ ทั้งที่รู้ว่าเกิดขึ้นและเผชิญหน้า เช่น พยายามขับรถยนต์ฝ่าเข้าพื้นที่น้ำท่วมสูง ดินโคลนถล่ม แผ่นดินแยกที่เกิดจากแผ่นดินไหว ต้นไม้ล้มขวาง รวมถึงการจัดฉากความเสียหายจากภัยพิบัติจริงแล้วแจ้งเหตุที่เป็นเท็จ เพื่อหวังเคลมประกัน
กรณีคนขับขี่นำรถยนต์ของผู้อื่นที่ทำประกันมาขับขี่โดยไม่มีใบขับขี่ หรือเมาสุรา เสพยาเสพติดขณะขับขี่ หรือนำรถไปก่อคดีต่าง ๆ และประสบเหตุภัยพิบัติ เมื่อตรวจสอบพบจะถูกบริษัทประกันแจ้งดำเนินคดีอาญาในข้อหาให้ความเท็จเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากประกันวินาศภัย เป็นต้น
ดังนั้น รถยนต์ของเราอาจจะเป็นคันหนึ่งที่ประสบภัยภัยพิบัติโดยคาดไม่ถึง การเลือกทำประกันรถยนต์ที่คุ้มครองเหตุภัยพิบัติธรรมชาติไว้ด้วยถือเป็นทางเลือกที่ดี มีความสบายใจ เกิดความคุ้มค่า ช่วยคุ้มครองความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินตลอด 24 ชั่วโมง
แนะนำวิธีการวางแผนการเดินทางด้วยรถยนต์ไฟฟ้า
การวางแผนการเดินทางด้วยรถยนต์ไฟฟ้าเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำในการวางแผนการเดินทางด้วยรถยนต์ไฟฟ้า
1.ตรวจสอบระยะทางวิ่งสูงสุดของรถยนต์ไฟฟ้า
ระยะทางวิ่งสูงสุดของรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละรุ่นแตกต่างกันไป ผู้ใช้ควรตรวจสอบระยะทางวิ่งสูงสุดของรถยนต์ไฟฟ้าของตนก่อนวางแผนการเดินทาง เพื่อให้แน่ใจว่ามีระยะทางเพียงพอที่จะเดินทางถึงจุดหมายปลายทาง
2.ค้นหาสถานีชาร์จตลอดเส้นทาง
ควรค้นหาสถานีชาร์จตลอดเส้นทางการเดินทาง สามารถใช้แอปพลิเคชันค้นหาสถานีชาร์จ เช่น PlugShare หรือ saifah เพื่อค้นหาสถานีชาร์จที่ใกล้เคียงและข้อมูลเกี่ยวกับประเภทหัวชาร์จ สถานะการใช้งาน และราคา
3.วางแผนเส้นทาง
ผู้ใช้สามารถวางแผนเส้นทางโดยระบุจุดเริ่มต้นและจุดหมายปลายทางในแอปพลิเคชันค้นหาสถานีชาร์จ แอปพลิเคชันจะแสดงเส้นทางพร้อมจุดชาร์จที่แนะนำตามระยะทางและกำลังไฟที่ต้องการ
4.เผื่อเวลาในการชาร์จ
ผู้ใช้ควรเผื่อเวลาในการชาร์จให้เพียงพอ โดยทั่วไปแล้ว การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจากระดับต่ำสุดถึงเต็มจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที ถึง 4 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับประเภทของหัวชาร์จและกำลังไฟของสถานีชาร์จ
5.คำนึงถึงสภาพอากาศ
สภาพอากาศอาจส่งผลต่อระยะทางวิ่งของรถยนต์ไฟฟ้า ตัวอย่างเช่น รถยนต์ไฟฟ้าจะวิ่งได้ระยะทางน้อยกว่าในสภาพอากาศที่หนาวเย็น
6.ตรวจสอบสภาพรถ
ก่อนออกเดินทาง ผู้ใช้ควรตรวจสอบสภาพรถให้พร้อมใช้งาน เช่น ตรวจสอบระดับแบตเตอรี่ เติมลมยาง และตรวจสอบระบบชาร์จ
📍นัดหมาย ติดต่อนำรถเข้าศูนย์บริการ ติดต่อได้ที่ ☎️ 099-310-8265
รถยนต์ไฟฟ้าทำงานอย่างไร
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้า เพิ่มขึ้นอย่างมาก รถยนต์ไฟฟ้ากำลังเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมยานยนต์ด้วยการทำงานอย่างมีสิ่งอำนวยความสะดวกและมีประสิทธิภาพ แต่คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่ารถยนต์ไฟฟ้าทำงานอย่างไร? ในบทความนี้เราจะพิจารณาถึงองค์ประกอบหลักและหลักการทำงานของรถยนต์ไฟฟ้าเหล่านี้มีองค์ประกอบอะไรที่แตกต่างไปจากรถน้ำมันบ้าง
องค์ประกอบหลักของรถยนต์ไฟฟ้า
แบตเตอรี่ (all-electric auxiliary)
รถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดถูกขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ แบตเตอรี่นี้เก็บพลังงานไฟฟ้าที่ใช้เพื่อขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีแบตเตอรี่เสริมที่ให้พลังงานไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ภายในของยานพาหนะ เช่น ไฟส่องสว่างและเครื่องปรับอากาศ
ช่องเสียบปลั๊กชาร์จ (charge port)
เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดมีช่องเสียบปลั๊กชาร์จ ช่องเสียบนี้ช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้า เชื่อมต่อกับแหล่งจ่ายพลังงานภายนอก เช่น ปลั๊กไฟหรืออุปกรณ์ชาร์จ เพื่อเติมพลังงานให้แบตเตอรี่
เครื่องแปลงไฟฟ้า DC/DC (DC/DC converter)
เครื่องแปลงไฟฟ้า DC/DC เป็นองค์ประกอบสำคัญในรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด มันแปลงพลังงานไฟฟ้า DC แรงดันสูงจากแบตเตอรี่แพคเป็นพลังงานไฟฟ้า DC แรงดันต่ำ เพื่อใช้เป็นพลังงานในการทำงานของอุปกรณ์ภายในยานพาหนะและเติมพลังงานให้แบตเตอรี่เสริม
มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อน (Electric Traction Motor)
มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนเป็นหัวใจของรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด มันใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เพื่อขับเคลื่อนล้อรถยนต์ไปข้างหน้า บางรถยนต์ไฟฟ้าใช้เครื่องกำเนิดมอเตอร์ที่ทำทั้งหน้าที่ขับเคลื่อนและ ชาร์จพลังงานในระหว่างการเบรกหรือชะลอรถยนต์ไฟฟ้า
ชาร์จภายในรถยนต์ (Onboard Charger)
ชาร์จภายในรถยนต์มีหน้าที่แปลงกระแสไฟฟ้าระบบกระแสสลับ AC ที่เข้ามาผ่านช่องเสียบปลั๊กชาร์จเป็นพลังงานไฟฟ้า DC เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ นอกจากนี้ยังมีการสื่อสารกับอุปกรณ์ชาร์จและตรวจสอบลักษณะของแบตเตอรี่เช่นแรงดัน กระแส อุณหภูมิ และสถานะการชาร์จขณะที่แบตเตอรี่กำลังถูกชาร์จ
ตัวควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (Power Electronics Controller)
ตัวควบคุมอิเล็กทรอนิกส์จัดการกระแสพลังงานไฟฟ้าที่ส่งมาจากแบตเตอรี่ ควบคุมความเร็วของมอเตอร์ไฟฟ้าและแรงบิด ช่วยให้การเร่งเครื่องและการเบรกทำงานได้อย่างถูกต้อง
ระบบควบคุมอุณหภูมิ (ระบายความร้อน)
เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้ามีความต้องการพลังงานสูง ระบบควบคุมอุณหภูมิเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาอุณหภูมิการทำงานที่เหมาะสมของเครื่องยนต์ มอเตอร์ไฟฟ้า ตัวควบคุมอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอื่น ๆ ระบบนี้ใช้รักษาอุณหภูมิที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและการทำงานที่เสถียร
แบตเตอรี่แพค (Traction Battery Pack)
แบตเตอรี่แพคเป็นแหล่งพลังงานหลักสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด เขาเก็บพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าของยานพาหนะ ความจุและเทคโนโลยีของแบตเตอรี่มีผลต่อระยะทางและประสิทธิภาพของรถยนต์
เกียร์ (Transmission) (ไฟฟ้า)
เกียร์ถ่ายทอดพลังงานกลไปยังล้อของยานพาหนะ ในรถยนต์ไฟฟ้า เกียร์ไฟฟ้าถ่ายทอดพลังงานไฟฟ้าจากมอเตอร์ไฟฟ้าไปยังล้อ
สรุป
รถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดมีโครงสร้างและส่วนประกอบที่ซับซ้อน เพื่อให้มันสามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การทำงานของรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มต้นด้วยการเติมพลังงานที่แบตเตอรี่เก็บไว้ผ่านช่องเสียบปลั๊กชาร์จ และมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อของรถ เครื่องแปลงไฟฟ้า ชาร์จภายในรถยนต์ และอุปกรณ์อื่น ๆ ในระบบช่วยให้มันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเสถียร
เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้ากำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว และเราสามารถคาดหวังได้ว่าในอนาคตจะมีการพัฒนาและเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ขับขี่ที่ใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน
📍นัดหมาย ติดต่อนำรถเข้าศูนย์บริการ ติดต่อได้ที่ ☎️ 099-310-8265
ค่าใช้จ่ายในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า
รถยนต์ไฟฟ้าเป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแทนที่จะเป็นเครื่องยนต์สันดาปภายใน รถยนต์ไฟฟ้ามีข้อดีหลายประการ เช่น ปล่อยมลพิษน้อยลง ประหยัดน้ำมัน และเงียบกว่ารถยนต์ทั่วไป อย่างไรก็ตาม รถยนต์ไฟฟ้ายังมีข้อเสียบางประการ เช่น ราคาแพงกว่ารถยนต์ทั่วไป ระยะทางขับขี่จำกัด และใช้เวลาในการชาร์จนาน
ค่าใช้จ่ายในการใช้รถยนต์ไฟฟ้านั้นต่ำกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงหลายประการ ได้แก่
ค่าเชื้อเพลิง
รถยนต์ไฟฟ้าใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน ซึ่งราคาถูกกว่าน้ำมันเชื้อเพลิงมาก โดยเฉลี่ยแล้วรถยนต์ไฟฟ้าใช้พลังงานไฟฟ้าเพียง 10-12 บาทต่อกิโลเมตร เทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งใช้น้ำมันประมาณ 25-30 บาทต่อกิโลเมตร
ค่าบำรุงรักษา
รถยนต์ไฟฟ้ามีชิ้นส่วนที่น้อยลงกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้นจึงมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่ต่ำกว่ามาก โดยเฉลี่ยแล้วรถยนต์ไฟฟ้ามีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเพียง 10,000 บาทต่อปี เทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาประมาณ 20,000 บาทต่อปี
ค่าภาษี
รถยนต์ไฟฟ้าได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีหลายประการ เช่น ยกเว้นภาษีสรรพสามิต ค่าธรรมเนียมจดทะเบียน และค่าธรรมเนียมการขออนุญาตขับขี่ อย่างไรก็ตาม รถยนต์ไฟฟ้ายังมีค่าใช้จ่ายบางประการที่สูงกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ได้แก่
ราคา
รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาแพงกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง โดยเฉลี่ยแล้วรถยนต์ไฟฟ้ามีราคาประมาณ 1 ล้านบาท เทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งมีราคาประมาณ 5 แสนบาท
ค่าใช้จ่ายในการชาร์จ
รถยนต์ไฟฟ้าสามารถชาร์จไฟได้ที่บ้านหรือที่สถานีชาร์จสาธารณะ โดยค่าชาร์จไฟที่บ้านจะขึ้นอยู่กับอัตราค่าไฟฟ้า ส่วนค่าชาร์จไฟที่สถานีชาร์จสาธารณะจะขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการสถานีชาร์จ
ระยะเวลาในการชาร์จ
ระยะเวลาในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่ โดยรถยนต์ไฟฟ้าที่มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่จะใช้เวลาในการชาร์จนานกว่ารถยนต์ไฟฟ้าที่มีแบตเตอรี่ขนาดเล็ก
โดยรวมแล้ว ค่าใช้จ่ายในการใช้รถยนต์ไฟฟ้านั้นต่ำกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในระยะยาว อย่างไรก็ตาม รถยนต์ไฟฟ้ายังมีราคาที่แพงกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้นจึงควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า
📍นัดหมาย ติดต่อนำรถเข้าศูนย์บริการ ติดต่อได้ที่ ☎️ 099-310-8265
กล้องติดรถยนต์จำเป็นแค่ไหน และมีประโยชน์อย่างไร?
หากพูดถึงอุปกรณ์เสริมสำหรับรถยนต์ในยุคปัจจุบัน มีอุปกรณ์มากมายหลายอย่างให้เราเลือกมาใช้เพื่อความสะดวกภายในรถ หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้น กล้องติดรถยนต์ หรือ กล้องหน้ารถ ซึ่งจะเห็นได้ทั่วไปในรถยนต์ยุคนี้ หรือแม้แต่รถตู้ รถบัส รถบรรทุก รถขนส่ง ก็มีกล้องติดรถเช่นกัน
ซึ่งเหตุผลส่วนใหญ่ของการมีกล้องติดรถนั้น ส่วนมากจะเป็นเรื่องของความปลอดภัย และเป็นหลักฐานสำคัญเพื่อยืนยันเหตุการณ์ต่าง ๆ เพราะทุกครั้งที่เกิดอุบัติเหตุ หรือมีการเฉี่ยวชน ต่างฝ่ายอาจจะไม่ทันได้สังเกตว่าใครเป็นฝ่ายผิด และคงเป็นเรื่องยาก หากเราจะพูดปากเปล่าว่าเราเป็นฝ่ายถูก หากคู่กรณียืนยันว่าเขาก็ไม่ผิดเช่นกัน ดังนั้น ภาพวิดีโอจากกล้องติดรถ จึงเป็นหลักฐานชั้นดีที่จะช่วยยุติข้อพิพาทได้
📍นัดหมาย ติดต่อนำรถเข้าศูนย์บริการ ติดต่อได้ที่ ☎️ 099-310-8265
วิธีรับมือ เมื่อรถคันเร่งค้าง ขณะขับขี่
อุบัติเหตุบนท้องถนนสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ปัญหารถคันเร่งค้าง ก็เป็นอีกสาเหตุที่ก่อให้เกิดอุบัติบนท้องถนน ซึ่งวันนี้เราจึงรวบรวมวิธีการรับมือ เมื่อรถเกิดปัญหาคันเร่งค้าง เพื่อเป็นความรู้เบื้องต้นในการรับมือ หากเกิดคันเร่งค้างเพียงเเค่ตั้งสติ เเละทำตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้
วิธีรับมือ เมื่อรถคันเร่งค้าง ขณะขับขี่
1.ตั้งสติ
ไม่ว่าจะเจอปัญหาใดๆ เพียงแค่ตั้งสติก็สามารถช่วยคุณแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น ดังนั้นคุมสติเเล้วพยายามมองดูถนนทางข้างหน้า พยายามควบคุมรถไปในทิศทางที่ปลอดภัยมากที่สุดได้
2.เปลี่ยนเป็นเกียร์ว่างทัน
หากรถเป็นเกียร์อัตโนมัติ ให้เหยียบเบรกแล้วเข้าเกียร์ว่าง หรือตัว N
หากเป็นรถเกียร์ธรรมดา ให้เหยียบคลัตช์และเปลี่ยนเป็นเกียร์ว่างทันที เพื่อตัดกำลังเครื่องยนต์ลง
3.เหยียบเบรกให้ถูกต้อง
หากเป็นรถเกียร์อัตโนมัติ ให้แตะเบรกเพื่อชะลอความเร็วลง แต่หากเป็นรถที่มีระบบเบรก ABS ให้แตะเบรกค้างไว้ พยายามควบคุมรถเพื่อหาที่จอดที่ปลอดภัยแล้วดับเครื่องตามลำดับ
หากเป็นรถเกียร์ธรรมดา ให้เหยียบคลัตช์เพื่อเปลี่ยนเป็นเกียร์ว่าง พยายามประคองรถให้ดีสลับกับการแตะเบรกเป็นระยะ จากนั้นค่อยดับเครื่องตามลำดับ
ในกรณีที่ไม่สามารถเบรกได้ทัน ให้ผู้ขับขี่ตั้งสติพยายามประคองรถเข้าหาจุดที่แข็งแรงพอที่จะหยุดรถได้ โดยนำฝั่งที่ไม่มีคนเข้าเพื่อหยุดรถ
4.เปิดไฟฉุกเฉินตลอด
เมื่อนำรถจอดในพื้นที่ปลอดภัยแล้ว ให้เปิดไฟฉุกเฉิน เพื่อเป็นสัญญาณเตือนให้รถคันอื่นทราบเเละระมัดระวัง จากนั้นจึงโทรขอความช่วยเหลือจากศูนย์บริการที่เกี่ยวข้อง
ข้อควรระวัง
– ขณะขับขี่หากรถเกิดปัญหาคันเร่งค้าง ไม่ควรเหยียบเบรกจนสุดแบบกะทันหัน อาจทำให้รถหมุนเเละเสียการควบคุมได้
– ขณะขับขี่หากรถเกิดปัญหาคันเร่งค้าง ไม่ควรดับเครื่องเด็ดขาด เพราะหากดับเครื่องโดยทันที พวงมาลัยพาวเวอร์จะไม่สามารถทำงานได้ ส่งผลให้บังคับพวงมาลัยได้ยากมากขึ้น และควบคุมทิศทางรถได้ยาก อีกทั้งเบรกจะเเข็ง ทำให้ชะลอความเร็วหรือหยุดรถไม่ได้
รู้เเบบนี้เเล้ว หากรถเกิดคันเร่งค้าง อย่าลืมนำข้อควรปฏิบัติเหล่านี้ไปทำตาม เพื่อลดความเสียหายรุนเเรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และที่สำคัญอย่าลืมหมั่นตรวจเช็คสภาพรถให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ
📍นัดหมาย ติดต่อนำรถเข้าศูนย์บริการ ติดต่อได้ที่ ☎️ 099-310-8265
New ORA Good Cat รุ่นผลิตในประเทศไทย
New GWM ORA Good Cat รุ่นผลิตในประเทศไทย มาพร้อมกับ 3 รุ่นย่อย รุ่น PRO และ รุ่น ULTRA ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 105 กิโลวัตต์ (143 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร สามารถวิ่งได้ 480 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (มาตรฐาน NEDC) และรุ่น GT มีพละกำลังสูงสุด 126 กิโลวัตต์ (171 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร วิ่งได้ 460 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (มาตรฐาน NEDC)
การออกแบบดีไซน์ถูกออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ Empower Your Moment มาพร้อมไฟหน้า LED อัจฉริยะรูปทรงตาแมวอันเป็นเอกลักษณ์ ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว และเพิ่มความสปอร์ตในรุ่น GT ด้วยคาลิปเปอร์เบรกสีเหลือง หน้าจอ Interactive Double Screen หน้าจอพาดยาวบริเวณคอนโซลของตัวรถมีขนาด 17.25 นิ้ว ความละเอียดสูง โดยแยกเป็นหน้าจอสำหรับแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 7 นิ้ว ผสานกับหน้าจอมัลติมีเดียแบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว รวมถึงเทคโนโลยีอัจฉริยะอย่างครบครันถึง 31 รายการ
สำหรับ New ORA Good Cat ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นนำเข้ามีรายละเอียดดังนี้
1.ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟต ขนาดความจุ 57.70 kWh มีระยะทางการวิ่งต่อการชาร์จ 1 ครั้งอยู่ที่ 480 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากเดิมมีแบตเตอรี่ขนาดความจุ 2 ขนาดได้แก่ 47.8 kWh สามารถวิ่งได้ต่อการชาร์จ 1 ครั้งอยู่ที่ 400 กิโลเมตร และ 63.1 kWh สามารถวิ่งได้ต่อการชาร์จ 1 ครั้งอยู่ที่ 500 กิโลเมตร ในรุ่น Pro และ รุ่น Ultra
2.ปรับตำแหน่งเกียร์จากแบบมือหมุนที่คอลโซลกลาง เป็น แบบก้านตำแหน่งที่ด้านข้างพวงมาลัย
3.อัปเกรด Wireless Charger ใหม่ สามารจ่ายกระแสไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นเป็น 50 วัตต์
4.เพิ่มช่องต่อ USB ทั้ง Type A และ C สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า
5.ชุดคอนโซลกลางมีการออกแบบใหม่เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้มากขึ้น
6.เพิ่มระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการชนครั้งที่ 2 โดยเมื่อเกิดเหตุรถจะรักษาเสถียรภาพของตัวรถไว้เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน
7.เพิ่มฟังก์ชัน V2L (Vehicle to Load) ที่เป็นระบบจ่ายกระแสไฟฟ้าจากตัวรถยนต์ไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้าที่คุณต้องการ
📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้า ติดต่อได้ที่ GWM Krabi⚡ หรือ โทร ☎️ 099-310-8265
ต่อใบขับขี่ 2567 Walk In เลยแบบไม่ต้องจองคิว
การต่ออายุใบขับขี่ เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นการยืนยันว่าผู้ขับขี่ยังคงมีความสามารถในการขับรถอย่างปลอดภัย โดยใบขับขี่ในประเทศไทยมีอายุ 5 ปี สำหรับใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล และ 2 ปี สำหรับใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล หากใบขับขี่หมดอายุแล้ว ถือว่าไม่มีสิทธิ์ในการขับรถตามกฎหมาย
นอกจากนี้ การต่ออายุใบขับขี่ยังช่วยให้ผู้ขับขี่ได้รับการทดสอบสมรรถภาพร่างกายและทดสอบภาคทฤษฎี ซึ่งจะช่วยย้ำเตือนให้ผู้ขับขี่ตระหนักถึงกฎจราจรและความปลอดภัยบนท้องถนน
ดังนั้น ผู้ขับขี่ควรต่ออายุใบขับขี่ก่อนวันหมดอายุอย่างน้อย 30 วัน เพื่อให้มีเวลาเตรียมเอกสารและจองคิวต่อใบขับขี่ได้ทันเวลา
เอกสารที่ต้องเตรียมในการต่อใบขับขี่ 2567
- ใบขับขี่เดิมที่ยังไม่หมดอายุ
- บัตรประจำตัวประชาชน
- หลักฐานการเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
- ใบรับรองแพทย์
ขั้นตอนการต่อใบขับขี่ 2567
- เตรียมเอกสาร
- การต่อใบขับขี่ 2567 สามารถทำได้ทั้งการจองคิวล่วงหน้าผ่านระบบออนไลน์ หรือ Walk In เลยแบบไม่ต้องจองคิว ณ สำนักงานขนส่ง ในพื้นที่ เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 00-15.30 น.
- ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย
ทำการตรวจวัดสมรรถภาพร่างกาย ได้แก่ ทดสอบการมองเห็นสี สายตาทางลึก สายตาทางกว้าง และทดสอบปฎิกิริยาของเท้า - อบรมภาคทฤษฎี
สามารถอบรมภาคทฤษฎีผ่านระบบ DLT eLearning หรือเรียนที่สำนักงานขนส่งในพื้นที่ - ทดสอบภาคปฏิบัติ
เมื่ออบรมภาคทฤษฎีแล้ว จะต้องทำการทดสอบภาคปฏิบัติ - ชำระค่าธรรมเนียม
ค่าธรรมเนียมในการต่อใบขับขี่ 2567 มีดังนี้
- ใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล 5 ปี 505 บาท
- ใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล 2 ปี 255 บาท
- ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล 5 ปี 205 บาท
- ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล 2 ปี 105 บาท