บทความ

กล้องติดรถยนต์จำเป็นแค่ไหน และมีประโยชน์อย่างไร?

     หากพูดถึงอุปกรณ์เสริมสำหรับรถยนต์ในยุคปัจจุบัน มีอุปกรณ์มากมายหลายอย่างให้เราเลือกมาใช้เพื่อความสะดวกภายในรถ หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้น กล้องติดรถยนต์ หรือ กล้องหน้ารถ ซึ่งจะเห็นได้ทั่วไปในรถยนต์ยุคนี้ หรือแม้แต่รถตู้ รถบัส รถบรรทุก รถขนส่ง ก็มีกล้องติดรถเช่นกัน

     ซึ่งเหตุผลส่วนใหญ่ของการมีกล้องติดรถนั้น ส่วนมากจะเป็นเรื่องของความปลอดภัย และเป็นหลักฐานสำคัญเพื่อยืนยันเหตุการณ์ต่าง ๆ เพราะทุกครั้งที่เกิดอุบัติเหตุ หรือมีการเฉี่ยวชน ต่างฝ่ายอาจจะไม่ทันได้สังเกตว่าใครเป็นฝ่ายผิด และคงเป็นเรื่องยาก หากเราจะพูดปากเปล่าว่าเราเป็นฝ่ายถูก หากคู่กรณียืนยันว่าเขาก็ไม่ผิดเช่นกัน ดังนั้น ภาพวิดีโอจากกล้องติดรถ จึงเป็นหลักฐานชั้นดีที่จะช่วยยุติข้อพิพาทได้

📍นัดหมาย ติดต่อนำรถเข้าศูนย์บริการ ติดต่อได้ที่  ☎️ 099-310-8265

บทความ

วิธีรับมือ เมื่อรถคันเร่งค้าง ขณะขับขี่

อุบัติเหตุบนท้องถนนสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ปัญหารถคันเร่งค้าง ก็เป็นอีกสาเหตุที่ก่อให้เกิดอุบัติบนท้องถนน ซึ่งวันนี้เราจึงรวบรวมวิธีการรับมือ เมื่อรถเกิดปัญหาคันเร่งค้าง เพื่อเป็นความรู้เบื้องต้นในการรับมือ หากเกิดคันเร่งค้างเพียงเเค่ตั้งสติ เเละทำตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้  

วิธีรับมือ เมื่อรถคันเร่งค้าง ขณะขับขี่

1.ตั้งสติ

    ไม่ว่าจะเจอปัญหาใดๆ เพียงแค่ตั้งสติก็สามารถช่วยคุณแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น ดังนั้นคุมสติเเล้วพยายามมองดูถนนทางข้างหน้า พยายามควบคุมรถไปในทิศทางที่ปลอดภัยมากที่สุดได้

2.เปลี่ยนเป็นเกียร์ว่างทัน
    

    หากรถเป็นเกียร์อัตโนมัติ ให้เหยียบเบรกแล้วเข้าเกียร์ว่าง หรือตัว N

    หากเป็นรถเกียร์ธรรมดา ให้เหยียบคลัตช์และเปลี่ยนเป็นเกียร์ว่างทันที เพื่อตัดกำลังเครื่องยนต์ลง

3.เหยียบเบรกให้ถูกต้อง

     หากเป็นรถเกียร์อัตโนมัติ ให้แตะเบรกเพื่อชะลอความเร็วลง แต่หากเป็นรถที่มีระบบเบรก ABS ให้แตะเบรกค้างไว้ พยายามควบคุมรถเพื่อหาที่จอดที่ปลอดภัยแล้วดับเครื่องตามลำดับ

    หากเป็นรถเกียร์ธรรมดา ให้เหยียบคลัตช์เพื่อเปลี่ยนเป็นเกียร์ว่าง พยายามประคองรถให้ดีสลับกับการแตะเบรกเป็นระยะ จากนั้นค่อยดับเครื่องตามลำดับ

    ในกรณีที่ไม่สามารถเบรกได้ทัน ให้ผู้ขับขี่ตั้งสติพยายามประคองรถเข้าหาจุดที่แข็งแรงพอที่จะหยุดรถได้ โดยนำฝั่งที่ไม่มีคนเข้าเพื่อหยุดรถ

4.เปิดไฟฉุกเฉินตลอด

    เมื่อนำรถจอดในพื้นที่ปลอดภัยแล้ว ให้เปิดไฟฉุกเฉิน เพื่อเป็นสัญญาณเตือนให้รถคันอื่นทราบเเละระมัดระวัง จากนั้นจึงโทรขอความช่วยเหลือจากศูนย์บริการที่เกี่ยวข้อง

   ข้อควรระวัง
– ขณะขับขี่หากรถเกิดปัญหาคันเร่งค้าง ไม่ควรเหยียบเบรกจนสุดแบบกะทันหัน อาจทำให้รถหมุนเเละเสียการควบคุมได้

– ขณะขับขี่หากรถเกิดปัญหาคันเร่งค้าง ไม่ควรดับเครื่องเด็ดขาด เพราะหากดับเครื่องโดยทันที พวงมาลัยพาวเวอร์จะไม่สามารถทำงานได้ ส่งผลให้บังคับพวงมาลัยได้ยากมากขึ้น และควบคุมทิศทางรถได้ยาก อีกทั้งเบรกจะเเข็ง ทำให้ชะลอความเร็วหรือหยุดรถไม่ได้

   รู้เเบบนี้เเล้ว หากรถเกิดคันเร่งค้าง อย่าลืมนำข้อควรปฏิบัติเหล่านี้ไปทำตาม เพื่อลดความเสียหายรุนเเรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และที่สำคัญอย่าลืมหมั่นตรวจเช็คสภาพรถให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ

📍นัดหมาย ติดต่อนำรถเข้าศูนย์บริการ ติดต่อได้ที่  ☎️ 099-310-8265

บทความ

New ORA Good Cat รุ่นผลิตในประเทศไทย

        New GWM ORA Good Cat รุ่นผลิตในประเทศไทย มาพร้อมกับ 3 รุ่นย่อย รุ่น PRO และ รุ่น ULTRA ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 105 กิโลวัตต์ (143 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร สามารถวิ่งได้ 480 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (มาตรฐาน NEDC) และรุ่น GT มีพละกำลังสูงสุด 126 กิโลวัตต์ (171 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร วิ่งได้ 460 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (มาตรฐาน NEDC) 

       การออกแบบดีไซน์ถูกออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ Empower Your Moment มาพร้อมไฟหน้า LED อัจฉริยะรูปทรงตาแมวอันเป็นเอกลักษณ์ ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว และเพิ่มความสปอร์ตในรุ่น GT ด้วยคาลิปเปอร์เบรกสีเหลือง หน้าจอ Interactive Double Screen หน้าจอพาดยาวบริเวณคอนโซลของตัวรถมีขนาด 17.25 นิ้ว ความละเอียดสูง โดยแยกเป็นหน้าจอสำหรับแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 7 นิ้ว ผสานกับหน้าจอมัลติมีเดียแบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว รวมถึงเทคโนโลยีอัจฉริยะอย่างครบครันถึง 31 รายการ

สำหรับ New ORA Good Cat ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นนำเข้ามีรายละเอียดดังนี้

1.ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟต ขนาดความจุ 57.70 kWh มีระยะทางการวิ่งต่อการชาร์จ 1 ครั้งอยู่ที่ 480 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากเดิมมีแบตเตอรี่ขนาดความจุ 2 ขนาดได้แก่ 47.8 kWh สามารถวิ่งได้ต่อการชาร์จ 1 ครั้งอยู่ที่ 400 กิโลเมตร และ 63.1 kWh สามารถวิ่งได้ต่อการชาร์จ 1 ครั้งอยู่ที่ 500 กิโลเมตร ในรุ่น Pro และ รุ่น Ultra

2.ปรับตำแหน่งเกียร์จากแบบมือหมุนที่คอลโซลกลาง เป็น แบบก้านตำแหน่งที่ด้านข้างพวงมาลัย

3.อัปเกรด Wireless Charger ใหม่ สามารจ่ายกระแสไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นเป็น 50 วัตต์

4.เพิ่มช่องต่อ USB ทั้ง Type A และ C สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า

5.ชุดคอนโซลกลางมีการออกแบบใหม่เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้มากขึ้น

6.เพิ่มระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการชนครั้งที่ 2 โดยเมื่อเกิดเหตุรถจะรักษาเสถียรภาพของตัวรถไว้เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน

7.เพิ่มฟังก์ชัน V2L (Vehicle to Load) ที่เป็นระบบจ่ายกระแสไฟฟ้าจากตัวรถยนต์ไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้าที่คุณต้องการ

 

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้า ติดต่อได้ที่ GWM Krabiหรือ โทร ☎️ 099-310-8265

บทความ

ต่อใบขับขี่ 2567 Walk In เลยแบบไม่ต้องจองคิว

    การต่ออายุใบขับขี่ เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นการยืนยันว่าผู้ขับขี่ยังคงมีความสามารถในการขับรถอย่างปลอดภัย โดยใบขับขี่ในประเทศไทยมีอายุ 5 ปี สำหรับใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล และ 2 ปี สำหรับใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล หากใบขับขี่หมดอายุแล้ว ถือว่าไม่มีสิทธิ์ในการขับรถตามกฎหมาย 

   นอกจากนี้ การต่ออายุใบขับขี่ยังช่วยให้ผู้ขับขี่ได้รับการทดสอบสมรรถภาพร่างกายและทดสอบภาคทฤษฎี ซึ่งจะช่วยย้ำเตือนให้ผู้ขับขี่ตระหนักถึงกฎจราจรและความปลอดภัยบนท้องถนน

    ดังนั้น ผู้ขับขี่ควรต่ออายุใบขับขี่ก่อนวันหมดอายุอย่างน้อย 30 วัน เพื่อให้มีเวลาเตรียมเอกสารและจองคิวต่อใบขับขี่ได้ทันเวลา 

เอกสารที่ต้องเตรียมในการต่อใบขับขี่ 2567

  • ใบขับขี่เดิมที่ยังไม่หมดอายุ
  • บัตรประจำตัวประชาชน 
  • หลักฐานการเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
  • ใบรับรองแพทย์ 

ขั้นตอนการต่อใบขับขี่ 2567

  1. เตรียมเอกสาร
  2. การต่อใบขับขี่ 2567 สามารถทำได้ทั้งการจองคิวล่วงหน้าผ่านระบบออนไลน์ หรือ Walk In เลยแบบไม่ต้องจองคิว ณ สำนักงานขนส่ง ในพื้นที่ เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 00-15.30 น.
  3. ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย
    ทำการตรวจวัดสมรรถภาพร่างกาย ได้แก่ ทดสอบการมองเห็นสี สายตาทางลึก สายตาทางกว้าง และทดสอบปฎิกิริยาของเท้า
  4. อบรมภาคทฤษฎี
    สามารถอบรมภาคทฤษฎีผ่านระบบ DLT eLearning หรือเรียนที่สำนักงานขนส่งในพื้นที่
  5. ทดสอบภาคปฏิบัติ
    เมื่ออบรมภาคทฤษฎีแล้ว จะต้องทำการทดสอบภาคปฏิบัติ
  6. ชำระค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมในการต่อใบขับขี่ 2567 มีดังนี้

  1. ใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล 5 ปี 505 บาท
  2. ใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล 2 ปี 255 บาท
  3. ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล 5 ปี 205 บาท
  4. ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล 2 ปี 105 บาท
บทความ

รถยางระเบิดเกิดจากอะไรได้บ้าง

         ยางระเบิดเกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่งล้วนแต่เป็นการใช้งานยางรถยนต์ที่ผิดหลักความปลอดภัย ดังนี้

ใช้ยางรถยนต์หมดอายุ

     ยางรถยนต์ใช้ได้กี่ปีจะขึ้นอยู่กับการถนอมยางและคุณภาพของยางประกอบด้วย แต่โดยปกติควรใช้ยางประมาณ 2 – 3 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร และหากพบรอยแตกลายงา ยางบวม หรือปัญหาอื่น ๆ บนหน้ายางควรเปลี่ยนยางทันทีก่อนจะเกิดยางระเบิด

ขับรถเร็วเกินกำหนด

      ยางรถยนต์มีอัตราความเร็วสูงสุดที่ถูกกำหนดไว้ หากผู้ใช้งานฝืนใช้งานเกินความเร็วที่กำหนดจะทำให้ยางเสียดสีกับถนนจนเกิดความร้อนได้ง่าย เสี่ยงต่อยางระเบิดสูง

ใช้ยางผิดประเภท

       การใช้ยางผิดประเภทนี้หมายถึงการใช้ยางผิดขนาดจากที่ควรจะเป็น โดยที่ไม่ได้เปรียบเทียบขนาดยางรถยนต์ที่เหมาะกับตนเองก่อน และการใช้ยางรับน้ำหนักที่มากเกินกว่าที่ผู้ผลิตยางกำหนด การนำยางไปใช้งานผิดประเภทเช่นนี้ทำให้ยางเสียหายและระเบิดได้

เกิดยางรั่ว

      การขับขี่ที่ก่อให้ยางเกิดความเสียหาย เช่น ขับรถตกหลุมอย่างแรง หรือขับรถชนจนแก้มยางแตก ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้ยางระเบิดได้ แม้แก้มยางฉีกนิดเดียวก็ไม่ควรฝืนใช้งานต่อ ควรเรียกช่างมาเปลี่ยนยางทันที

       ยางระเบิดเกิดขึ้นได้หากผู้ใช้ละเลยการดูแลรักษายางอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหายางระเบิด ผู้ใช้รถจึงควรใส่ใจสุขภาพของยางรถยนต์ให้มากขึ้น และรู้วิธีรับมือหากเกิดยางระเบิด

บทความ

รวม 5 สิ่งที่ต้องเตรียมให้พร้อมก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า

สำหรับใครที่ตัดสินใจแล้วว่าต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เราขอแนะนำให้คุณติดตั้ง 5 สิ่งนี้ให้พร้อม เพื่อที่จะได้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าอย่างสบายใจ ไม่มีปัญหามากวนใจในภายหลัง ได้แก่

  • ติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าบ้านที่มีแอมป์เหมาะสมและรองรับกับรถยนต์ไฟฟ้า
  • เปลี่ยนขนาดสายไฟฟ้าเข้าบ้าน หรือที่เรียกว่า “สายเมน” และขนาดลูกเซอร์กิต (MCB) ให้สอดคล้องกับมิเตอร์ไฟฟ้าอันใหม่
  • ติดตั้งตู้ควบคุมไฟฟ้า (Main Distribution Board: MDB) แยกสำหรับการชาร์จรถไฟฟ้าโดยเฉพาะ
  • ติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่ว (Earth-Leakage Circuit Breaker) เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน
  • ติดตั้งหัวชาร์จไฟฟ้า (EV Socket) จากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า

สำหรับใครที่มีข้อสงสัยว่ามีขั้นตอนการติดตั้งอย่างไร สามารถสอบถามกับผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่ไปใช้บริการได้เลย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมีเจ้าหน้าที่คอยช่วยดำเนินการเรื่องเหล่านี้อยู่

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้าหรือมีปัญหาการใช้งาน สามารถติดต่อได้ที่ GWM Krabi⚡ หรือ โทร ☎️ 099-310-8265

บทความ

รถไฟฟ้า หรือ รถ EV ควรเลือกยางแบบไหนดี?

       รถไฟฟ้า หรือ รถยนต์ EV (Electric Vehicle) ก็ต้องบอกเลยว่าปัจจุบันนี้รถยนต์ไฟฟ้ากำลังเป็นที่นิยมและเป็นที่พูดถึงในวงกว้างมากๆ เลย เนื่องจากว่ามีข้อดีหลายอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นในการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าก็มีสิ่งที่จำเป็นต้องดูแลและให้ความใส่ใจอยู่ โดยเฉพาะเรื่องของยางรถ EVที่ควรใช้ให้ถูกต้อง แล้วควรเลือกอย่างไร

คุณสมบัติของยางรถ EV

ยางรถ EV เป็นยางที่ผลิตขึ้นมาสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ นั่นก็เพื่อให้มีความทนทานต่อน้ำหนักของตัวรถที่จะมีความหนักมากกว่ารถยนต์ทั่วไป สิ่งนี้เองที่ทำให้จำเป็นต้องเลือกใช้ยางให้เหมาะสมกับรถยนต์ไฟฟ้า เพราะยางรถยนต์ไฟฟ้ามีคุณสมบัติที่สามารถรองรับการใช้งานของรถได้เป็นอย่างดีนั่นเอง ซึ่งคุณสมบัติของยางรถยนต์ไฟฟ้าก็มีดังต่อไปนี้

  • ทนทานต่อการสึกหรอ
  • ยึดเกาะถนนได้ดี
  • เงียบกว่ายางรถทั่วไป
  • ประหยัดพลังงานมากกว่ายางรถทั่วไป เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้ามีแรงต้านทานการหมุนน้อยกว่า

เลือกยางรถ EV แบบไหนดี ให้เหมาะกับรถ EVของคุณ

รถ EV ไม่จำเป็นต้องเลือกใช้ยางรถ EV เท่านั้น แต่หากใช้ยางที่ออกแบบมาสำหรับรถ EV โดยเฉพาะ จะได้รับสมรรถนะที่ดีกว่า และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า

ประเภทของยางรถ EV

      สิ่งแรกที่ควรคำนึงถึงในการเลือกซื้อยางรถ EV ก็คือ ประเภทของยาง เนื่องจากรถแต่ละรุ่นก็เหมาะสมกับยางไม่เหมือนกัน รวมถึงการใช้งานก็เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญกับการเลือกยางก่อนด้วย ซึ่งประเภทของยางรถยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะสมก็มีดังต่อไปนี้

1.สภาพอากาศและภูมิประเทศ

    นอกจากที่จะต้องเลือกยางรถ EV จากประเภทของยางแล้ว การเลือกจากสภาพอากาศหรือว่าสภาพภูมิประเทศที่อาศัยอยู่ก็สำคัญไม่แพ้กัน เช่น หากว่าต้องมีการใช้งานในสภาพอากาศที่หนาวเย็นมากๆ ก็ควรเลือกยางที่สามารถยึดเกาะถนนได้ดี เช่น การเลือกยางที่มีส่วนผสมของซิลิก้า (Silica) สูง ทั้งนี้ การเลือกให้เหมาะสมกับสภาพอากาศจะช่วยให้การขับขี่เป็นไปด้วยดีมากขึ้น

2.ระยะทางที่ใช้งาน

     อีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ให้ความสำคัญไม่ได้เลยในการเลือกซื้อยางรถ EV นั่นก็คือ เรื่องของระยะทางการใช้งาน เนื่องจากว่าระยะทางที่มากขึ้นสามารถส่งผลกระทบต่อยางได้มากขึ้นด้วย จึงจำเป็นมากที่จะต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย เช่น หากว่าต้องมีการเดินทางไกลบ่อยๆ ก็ควรเลือกยางแบบที่มีค่า Rolling Resistance ต่ำ เพราะจะช่วยให้สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าของรถได้

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้า ติดต่อได้ที่ GWM Krabiหรือ โทร ☎️ 099-310-8265

บทความ

5 เทคนิคการดูแลรักษารถยนต์ไฟฟ้า

1. มอเตอร์ไฟฟ้า

โดยปกติแล้ว มอเตอร์ไฟฟ้ามีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และไม่ต้องการการดูแลยิบย่อยเหมือนเครื่องยนต์สันดาป เจ้าของรถไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง หรือเปลี่ยนไส้กรองเหมือนรถที่ใช้น้ำมัน แต่เพื่อการใช้งานที่ยาวนาน ควรนำรถเช็กระยะตามกำหนดทุกครั้ง ให้ช่างได้ดูแลตรวจสอบความผิดปกติของมอเตอร์ไฟฟ้า เพราะหากขัดข้องขึ้นมา อาจทำให้คุณเจอปัญหาบานปลายได้

2. แบตเตอรี่

ปัญหาที่มักเกิดกับแบตเตอรี่ ส่วนมากจะเป็นเรื่องของความชื้นที่อาจไปกัดกร่อนชิ้นส่วนทางกลไก จนทำให้แบตเตอรี่ขัดข้องและมีอายุการใช้งานสั้นลง นอกจากนี้ ยังต้องระวังในเรื่องของความร้อนสะสมที่อาจมากเกินไป หากไม่จำเป็นจึงไม่ควรจอดรถไฟฟ้ากลางแจ้งหรือนอกที่ร่ม

เรื่องการชาร์จเองก็ส่งผลกับแบตเตอรี่เช่นเดียวกัน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าไม่ควรชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าทิ้งไว้นานเกินไป เพราะอาจส่งผลให้แบตเตอรี่ไฟฟ้าสึกหรอได้ แต่ก็ไม่ควรปล่อให้แบตเตอรี่ต่ำเกินไป เป็นระยะเวลานาน ๆ เช่นกัน เนื่องจากสุขภาพแบตเตอรี่อาจจะเสื่อมเร็วได้นั่นเอง

3. อุปกรณ์ชาร์จไฟ

ในส่วนของที่ชาร์จไฟฟ้า ควรเลือกใช้ที่ชาร์จเดิมที่มาพร้อมกับรถ เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองมาแล้วว่ามีความปลอดภัยและมีระบบการป้องกันประกายไฟ รวมถึงไฟฟ้าลัดวงจร สร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้งานได้มากกว่าหัวชาร์จที่ไม่ได้มาตรฐาน

4. ระบบเบรก

รถยนต์ไฟฟ้านั้น มักจะมีระบบเบรก 2 รูปแบบ ประกอบด้วย 

1. ระบบเบรกแบบ Regenerative Braking เมื่อคนขับเหยียบเบรก ตัวปั่นไฟจะหน่วงรถให้ช้าลงและเปลี่ยนแรงเฉื่อยของรถให้เป็นพลังงานไฟฟ้า และชาร์จไฟกลับไปยังแบตเตอรี่

2. ระบบเบรกแบบปกติ ที่จะถูกใช้งานเมื่อมีการเหยียบเบรกแบบกะทันหันหรือฉับพลัน

เมื่อระบบเบรกแบบ Regenerative Braking ถูกใช้งาน ระบบเบรกแบบปกติจะถูกลดบทบาทลง ซึ่งหากไม่ได้ใช้งานนาน ๆ ก็จะทำให้เกิดสนิมได้ เมื่อต้องการใช้งานจริง ๆ จึงอาจทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ผู้ขับขี่จึงควรดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ และเปลี่ยนผ้าเบรกใหม่เมื่อผ่านการใช้งานมาแล้ว 80,000 กิโลเมตร หรือเร็วกว่านั้นหากมีการใช้งานหนัก เช่น บรรทุกของเยอะ หรือขับด้วยความเร็วสูงเป็นประจำ

5. ยางรถยนต์

การดูแลรักษายางรถยนต์ไฟฟ้านั้นไม่ต่างจากรถยนต์ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการรักษาระดับความดันลมยางให้ถูกต้อง การตรวจสอบความดันลมยางและเติมลมยางอย่างสม่ำเสมอ (ดูคำแนะนำได้ในคู่มือรถ) หากยางลมอ่อนหรือแข็งจนเกินไป อาจทำให้เกิดการระเบิดและดอกยางเสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนดได้ ซึ่งปกติแล้ว ยางรถไฟฟ้าจะมีอายุการใช้งานแตกต่างกัน (ขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อ) แต่ส่วนใหญ่มักจะมีระยะการใช้งานที่ 20,000-50,000 กิโลเมตร โดยประมาณ

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้า ติดต่อได้ที่ GWM Krabiหรือ โทร ☎️ 099-310-8265

บทความ

จุดเด่น ORA 07 

       ORA 07 รถยนต์ไฟฟ้าสปอร์ตคูเป้สมรรถนะสูง โดยก่อนหน้านี้มาโชว์ตัวในไทยในชื่อ “Grandcat” แต่แล้วก็เปลี่ยนใหม่โดยใช้เป็นตัวเลขเพื่อบ่งบอกถึงความเป็นลำดับเซกเมนต์ของรถยนต์ ORA นั่นเอง ด้วยคอนเซ็ปต์การออกแบบด้วยแรงบันดาลใจจากความงามแห่งธรรมชาติผสมผสานกับความสปอร์ต ที่พร้อมให้ทุกขณะของการขับขี่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเร้าใจ และยังดื่มด่ำไปกับสุนทรียภาพแห่งการดีไซน์ ด้วยวัสดุคุณภาพชั้นเยี่ยมและผิวสัมผัสต่าง ๆ ที่ถูกคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถัน

      ORA 07 รุ่น LONG RANGE อยู่ที่ 1,299,000 บาท และ ORA 07 รุ่น PERFORMANCE อยู่ที่ 1,499,000 บาท มาพร้อมกับเฉดสีภายนอกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีขาว (Jade White) สีเทา (Amethyst Grey) และสีพิเศษ ม่วง (Crystal Purple) ในรุ่น PERFORMANCE เฉดสีภายในมีให้เลือก 2 สี คือ สีดำ และสีน้ำตาล ซึ่งเบาะสีน้ำตาลจะเป็นสีพิเศษสำหรับรุ่น PERFORMANCE ซึ่งเลือกจับคู่ได้กับสีภายนอกสีม่วงและสีเทาเท่านั้น นอกจากนี้ ORA 07 ยังมาพร้อมการรับประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์ 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) และการรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือระยะทาง 180,000กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)              

จุดเด่น

  • ดีไซน์แบบรถสปอร์ตหรูยอดฮิต 
  • หลังคาแก้ว 2 ตอน 
  • ระบบความปลอดภัยเต็มคัน
  • มีกล้องรอบคัน เตือนออกนอกเลนระบบช่วยจอด 3 รูปแบบ
  • ภายในสปอร์ตสวย
  • จอกลางสัมผัสไหลลื่น
  • สปอยเลอร์เปิด-ปิดอัตโนมัติหรือสั่งเปิดเองได้
  • พลังมอเตอร์ไฟฟ้ากว่า 400 แรงม้า
  • วิ่งไกลกว่า 500 กม./ชาร์จ
  • ภายในกว้างขวางโปร่ง
  • กระจกประตูไร้ขอบแบบสปอร์ต 

ราคา

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้า ติดต่อได้ที่ GWM Krabiหรือ โทร ☎️ 099-310-8265

บทความ

เปลี่ยนทะเบียนรถเพราะชำรุด ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง

    ป้ายทะเบียนรถซีด หลุดลอก ชำรุด หากเพิกเฉยไม่ยอมเปลี่ยนป้ายทะเบียนรถก็มีความผิดตามกฎหมาย ส่วนเอกสารและค่าใช้จ่ายในการขอเปลี่ยนป้ายทะเบียนรถใหม่ มีดังนี้

เอกสารในการยื่นขอเปลี่ยนทะเบียนรถใหม่แทนป้ายที่ชำรุด

  1. แผ่นป้ายทะเบียนรถเดิมที่ชำรุด
  2. เล่มจดทะเบียนรถและสำเนา
  3. บัตรประชาชนเจ้าของรถตัวจริงและสำเนา (หากไม่ได้ดำเนินการเองต้องมีหนังสือมอบอำนาจ)

ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนทะเบียนรถใหม่แทนป้ายที่ชำรุด

  1. ค่าคำขอ 5 บาท
  2. ค่าป้ายทะเบียนรถยนต์ 2 แผ่น 200 บาท

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้า ติดต่อได้ที่ GWM Krabiหรือ โทร ☎️ 099-310-8265

error: Content is protected !!