วิธีรับมือ เมื่อรถคันเร่งค้าง ขณะขับขี่

อุบัติเหตุบนท้องถนนสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ปัญหารถคันเร่งค้าง ก็เป็นอีกสาเหตุที่ก่อให้เกิดอุบัติบนท้องถนน ซึ่งวันนี้เราจึงรวบรวมวิธีการรับมือ เมื่อรถเกิดปัญหาคันเร่งค้าง เพื่อเป็นความรู้เบื้องต้นในการรับมือ หากเกิดคันเร่งค้างเพียงเเค่ตั้งสติ เเละทำตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้  

วิธีรับมือ เมื่อรถคันเร่งค้าง ขณะขับขี่

1.ตั้งสติ

    ไม่ว่าจะเจอปัญหาใดๆ เพียงแค่ตั้งสติก็สามารถช่วยคุณแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น ดังนั้นคุมสติเเล้วพยายามมองดูถนนทางข้างหน้า พยายามควบคุมรถไปในทิศทางที่ปลอดภัยมากที่สุดได้

2.เปลี่ยนเป็นเกียร์ว่างทัน
    

    หากรถเป็นเกียร์อัตโนมัติ ให้เหยียบเบรกแล้วเข้าเกียร์ว่าง หรือตัว N

    หากเป็นรถเกียร์ธรรมดา ให้เหยียบคลัตช์และเปลี่ยนเป็นเกียร์ว่างทันที เพื่อตัดกำลังเครื่องยนต์ลง

3.เหยียบเบรกให้ถูกต้อง

     หากเป็นรถเกียร์อัตโนมัติ ให้แตะเบรกเพื่อชะลอความเร็วลง แต่หากเป็นรถที่มีระบบเบรก ABS ให้แตะเบรกค้างไว้ พยายามควบคุมรถเพื่อหาที่จอดที่ปลอดภัยแล้วดับเครื่องตามลำดับ

    หากเป็นรถเกียร์ธรรมดา ให้เหยียบคลัตช์เพื่อเปลี่ยนเป็นเกียร์ว่าง พยายามประคองรถให้ดีสลับกับการแตะเบรกเป็นระยะ จากนั้นค่อยดับเครื่องตามลำดับ

    ในกรณีที่ไม่สามารถเบรกได้ทัน ให้ผู้ขับขี่ตั้งสติพยายามประคองรถเข้าหาจุดที่แข็งแรงพอที่จะหยุดรถได้ โดยนำฝั่งที่ไม่มีคนเข้าเพื่อหยุดรถ

4.เปิดไฟฉุกเฉินตลอด

    เมื่อนำรถจอดในพื้นที่ปลอดภัยแล้ว ให้เปิดไฟฉุกเฉิน เพื่อเป็นสัญญาณเตือนให้รถคันอื่นทราบเเละระมัดระวัง จากนั้นจึงโทรขอความช่วยเหลือจากศูนย์บริการที่เกี่ยวข้อง

   ข้อควรระวัง
– ขณะขับขี่หากรถเกิดปัญหาคันเร่งค้าง ไม่ควรเหยียบเบรกจนสุดแบบกะทันหัน อาจทำให้รถหมุนเเละเสียการควบคุมได้

– ขณะขับขี่หากรถเกิดปัญหาคันเร่งค้าง ไม่ควรดับเครื่องเด็ดขาด เพราะหากดับเครื่องโดยทันที พวงมาลัยพาวเวอร์จะไม่สามารถทำงานได้ ส่งผลให้บังคับพวงมาลัยได้ยากมากขึ้น และควบคุมทิศทางรถได้ยาก อีกทั้งเบรกจะเเข็ง ทำให้ชะลอความเร็วหรือหยุดรถไม่ได้

   รู้เเบบนี้เเล้ว หากรถเกิดคันเร่งค้าง อย่าลืมนำข้อควรปฏิบัติเหล่านี้ไปทำตาม เพื่อลดความเสียหายรุนเเรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และที่สำคัญอย่าลืมหมั่นตรวจเช็คสภาพรถให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ

📍นัดหมาย ติดต่อนำรถเข้าศูนย์บริการ ติดต่อได้ที่  ☎️ 099-310-8265

New ORA Good Cat รุ่นผลิตในประเทศไทย

        New GWM ORA Good Cat รุ่นผลิตในประเทศไทย มาพร้อมกับ 3 รุ่นย่อย รุ่น PRO และ รุ่น ULTRA ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 105 กิโลวัตต์ (143 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร สามารถวิ่งได้ 480 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (มาตรฐาน NEDC) และรุ่น GT มีพละกำลังสูงสุด 126 กิโลวัตต์ (171 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร วิ่งได้ 460 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (มาตรฐาน NEDC) 

       การออกแบบดีไซน์ถูกออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ Empower Your Moment มาพร้อมไฟหน้า LED อัจฉริยะรูปทรงตาแมวอันเป็นเอกลักษณ์ ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว และเพิ่มความสปอร์ตในรุ่น GT ด้วยคาลิปเปอร์เบรกสีเหลือง หน้าจอ Interactive Double Screen หน้าจอพาดยาวบริเวณคอนโซลของตัวรถมีขนาด 17.25 นิ้ว ความละเอียดสูง โดยแยกเป็นหน้าจอสำหรับแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 7 นิ้ว ผสานกับหน้าจอมัลติมีเดียแบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว รวมถึงเทคโนโลยีอัจฉริยะอย่างครบครันถึง 31 รายการ

สำหรับ New ORA Good Cat ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นนำเข้ามีรายละเอียดดังนี้

1.ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟต ขนาดความจุ 57.70 kWh มีระยะทางการวิ่งต่อการชาร์จ 1 ครั้งอยู่ที่ 480 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากเดิมมีแบตเตอรี่ขนาดความจุ 2 ขนาดได้แก่ 47.8 kWh สามารถวิ่งได้ต่อการชาร์จ 1 ครั้งอยู่ที่ 400 กิโลเมตร และ 63.1 kWh สามารถวิ่งได้ต่อการชาร์จ 1 ครั้งอยู่ที่ 500 กิโลเมตร ในรุ่น Pro และ รุ่น Ultra

2.ปรับตำแหน่งเกียร์จากแบบมือหมุนที่คอลโซลกลาง เป็น แบบก้านตำแหน่งที่ด้านข้างพวงมาลัย

3.อัปเกรด Wireless Charger ใหม่ สามารจ่ายกระแสไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นเป็น 50 วัตต์

4.เพิ่มช่องต่อ USB ทั้ง Type A และ C สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า

5.ชุดคอนโซลกลางมีการออกแบบใหม่เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้มากขึ้น

6.เพิ่มระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการชนครั้งที่ 2 โดยเมื่อเกิดเหตุรถจะรักษาเสถียรภาพของตัวรถไว้เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน

7.เพิ่มฟังก์ชัน V2L (Vehicle to Load) ที่เป็นระบบจ่ายกระแสไฟฟ้าจากตัวรถยนต์ไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้าที่คุณต้องการ

 

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้า ติดต่อได้ที่ GWM Krabiหรือ โทร ☎️ 099-310-8265

ต่อใบขับขี่ 2567 Walk In เลยแบบไม่ต้องจองคิว

    การต่ออายุใบขับขี่ เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นการยืนยันว่าผู้ขับขี่ยังคงมีความสามารถในการขับรถอย่างปลอดภัย โดยใบขับขี่ในประเทศไทยมีอายุ 5 ปี สำหรับใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล และ 2 ปี สำหรับใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล หากใบขับขี่หมดอายุแล้ว ถือว่าไม่มีสิทธิ์ในการขับรถตามกฎหมาย 

   นอกจากนี้ การต่ออายุใบขับขี่ยังช่วยให้ผู้ขับขี่ได้รับการทดสอบสมรรถภาพร่างกายและทดสอบภาคทฤษฎี ซึ่งจะช่วยย้ำเตือนให้ผู้ขับขี่ตระหนักถึงกฎจราจรและความปลอดภัยบนท้องถนน

    ดังนั้น ผู้ขับขี่ควรต่ออายุใบขับขี่ก่อนวันหมดอายุอย่างน้อย 30 วัน เพื่อให้มีเวลาเตรียมเอกสารและจองคิวต่อใบขับขี่ได้ทันเวลา 

เอกสารที่ต้องเตรียมในการต่อใบขับขี่ 2567

  • ใบขับขี่เดิมที่ยังไม่หมดอายุ
  • บัตรประจำตัวประชาชน 
  • หลักฐานการเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
  • ใบรับรองแพทย์ 

ขั้นตอนการต่อใบขับขี่ 2567

  1. เตรียมเอกสาร
  2. การต่อใบขับขี่ 2567 สามารถทำได้ทั้งการจองคิวล่วงหน้าผ่านระบบออนไลน์ หรือ Walk In เลยแบบไม่ต้องจองคิว ณ สำนักงานขนส่ง ในพื้นที่ เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 00-15.30 น.
  3. ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย
    ทำการตรวจวัดสมรรถภาพร่างกาย ได้แก่ ทดสอบการมองเห็นสี สายตาทางลึก สายตาทางกว้าง และทดสอบปฎิกิริยาของเท้า
  4. อบรมภาคทฤษฎี
    สามารถอบรมภาคทฤษฎีผ่านระบบ DLT eLearning หรือเรียนที่สำนักงานขนส่งในพื้นที่
  5. ทดสอบภาคปฏิบัติ
    เมื่ออบรมภาคทฤษฎีแล้ว จะต้องทำการทดสอบภาคปฏิบัติ
  6. ชำระค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมในการต่อใบขับขี่ 2567 มีดังนี้

  1. ใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล 5 ปี 505 บาท
  2. ใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล 2 ปี 255 บาท
  3. ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล 5 ปี 205 บาท
  4. ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล 2 ปี 105 บาท

รถยางระเบิดเกิดจากอะไรได้บ้าง

         ยางระเบิดเกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่งล้วนแต่เป็นการใช้งานยางรถยนต์ที่ผิดหลักความปลอดภัย ดังนี้

ใช้ยางรถยนต์หมดอายุ

     ยางรถยนต์ใช้ได้กี่ปีจะขึ้นอยู่กับการถนอมยางและคุณภาพของยางประกอบด้วย แต่โดยปกติควรใช้ยางประมาณ 2 – 3 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร และหากพบรอยแตกลายงา ยางบวม หรือปัญหาอื่น ๆ บนหน้ายางควรเปลี่ยนยางทันทีก่อนจะเกิดยางระเบิด

ขับรถเร็วเกินกำหนด

      ยางรถยนต์มีอัตราความเร็วสูงสุดที่ถูกกำหนดไว้ หากผู้ใช้งานฝืนใช้งานเกินความเร็วที่กำหนดจะทำให้ยางเสียดสีกับถนนจนเกิดความร้อนได้ง่าย เสี่ยงต่อยางระเบิดสูง

ใช้ยางผิดประเภท

       การใช้ยางผิดประเภทนี้หมายถึงการใช้ยางผิดขนาดจากที่ควรจะเป็น โดยที่ไม่ได้เปรียบเทียบขนาดยางรถยนต์ที่เหมาะกับตนเองก่อน และการใช้ยางรับน้ำหนักที่มากเกินกว่าที่ผู้ผลิตยางกำหนด การนำยางไปใช้งานผิดประเภทเช่นนี้ทำให้ยางเสียหายและระเบิดได้

เกิดยางรั่ว

      การขับขี่ที่ก่อให้ยางเกิดความเสียหาย เช่น ขับรถตกหลุมอย่างแรง หรือขับรถชนจนแก้มยางแตก ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้ยางระเบิดได้ แม้แก้มยางฉีกนิดเดียวก็ไม่ควรฝืนใช้งานต่อ ควรเรียกช่างมาเปลี่ยนยางทันที

       ยางระเบิดเกิดขึ้นได้หากผู้ใช้ละเลยการดูแลรักษายางอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหายางระเบิด ผู้ใช้รถจึงควรใส่ใจสุขภาพของยางรถยนต์ให้มากขึ้น และรู้วิธีรับมือหากเกิดยางระเบิด

รวม 5 สิ่งที่ต้องเตรียมให้พร้อมก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า

สำหรับใครที่ตัดสินใจแล้วว่าต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เราขอแนะนำให้คุณติดตั้ง 5 สิ่งนี้ให้พร้อม เพื่อที่จะได้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าอย่างสบายใจ ไม่มีปัญหามากวนใจในภายหลัง ได้แก่

  • ติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าบ้านที่มีแอมป์เหมาะสมและรองรับกับรถยนต์ไฟฟ้า
  • เปลี่ยนขนาดสายไฟฟ้าเข้าบ้าน หรือที่เรียกว่า “สายเมน” และขนาดลูกเซอร์กิต (MCB) ให้สอดคล้องกับมิเตอร์ไฟฟ้าอันใหม่
  • ติดตั้งตู้ควบคุมไฟฟ้า (Main Distribution Board: MDB) แยกสำหรับการชาร์จรถไฟฟ้าโดยเฉพาะ
  • ติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่ว (Earth-Leakage Circuit Breaker) เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน
  • ติดตั้งหัวชาร์จไฟฟ้า (EV Socket) จากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า

สำหรับใครที่มีข้อสงสัยว่ามีขั้นตอนการติดตั้งอย่างไร สามารถสอบถามกับผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่ไปใช้บริการได้เลย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมีเจ้าหน้าที่คอยช่วยดำเนินการเรื่องเหล่านี้อยู่

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้าหรือมีปัญหาการใช้งาน สามารถติดต่อได้ที่ GWM Krabi⚡ หรือ โทร ☎️ 099-310-8265

รถไฟฟ้า หรือ รถ EV ควรเลือกยางแบบไหนดี?

       รถไฟฟ้า หรือ รถยนต์ EV (Electric Vehicle) ก็ต้องบอกเลยว่าปัจจุบันนี้รถยนต์ไฟฟ้ากำลังเป็นที่นิยมและเป็นที่พูดถึงในวงกว้างมากๆ เลย เนื่องจากว่ามีข้อดีหลายอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นในการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าก็มีสิ่งที่จำเป็นต้องดูแลและให้ความใส่ใจอยู่ โดยเฉพาะเรื่องของยางรถ EVที่ควรใช้ให้ถูกต้อง แล้วควรเลือกอย่างไร

คุณสมบัติของยางรถ EV

ยางรถ EV เป็นยางที่ผลิตขึ้นมาสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ นั่นก็เพื่อให้มีความทนทานต่อน้ำหนักของตัวรถที่จะมีความหนักมากกว่ารถยนต์ทั่วไป สิ่งนี้เองที่ทำให้จำเป็นต้องเลือกใช้ยางให้เหมาะสมกับรถยนต์ไฟฟ้า เพราะยางรถยนต์ไฟฟ้ามีคุณสมบัติที่สามารถรองรับการใช้งานของรถได้เป็นอย่างดีนั่นเอง ซึ่งคุณสมบัติของยางรถยนต์ไฟฟ้าก็มีดังต่อไปนี้

  • ทนทานต่อการสึกหรอ
  • ยึดเกาะถนนได้ดี
  • เงียบกว่ายางรถทั่วไป
  • ประหยัดพลังงานมากกว่ายางรถทั่วไป เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้ามีแรงต้านทานการหมุนน้อยกว่า

เลือกยางรถ EV แบบไหนดี ให้เหมาะกับรถ EVของคุณ

รถ EV ไม่จำเป็นต้องเลือกใช้ยางรถ EV เท่านั้น แต่หากใช้ยางที่ออกแบบมาสำหรับรถ EV โดยเฉพาะ จะได้รับสมรรถนะที่ดีกว่า และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า

ประเภทของยางรถ EV

      สิ่งแรกที่ควรคำนึงถึงในการเลือกซื้อยางรถ EV ก็คือ ประเภทของยาง เนื่องจากรถแต่ละรุ่นก็เหมาะสมกับยางไม่เหมือนกัน รวมถึงการใช้งานก็เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญกับการเลือกยางก่อนด้วย ซึ่งประเภทของยางรถยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะสมก็มีดังต่อไปนี้

1.สภาพอากาศและภูมิประเทศ

    นอกจากที่จะต้องเลือกยางรถ EV จากประเภทของยางแล้ว การเลือกจากสภาพอากาศหรือว่าสภาพภูมิประเทศที่อาศัยอยู่ก็สำคัญไม่แพ้กัน เช่น หากว่าต้องมีการใช้งานในสภาพอากาศที่หนาวเย็นมากๆ ก็ควรเลือกยางที่สามารถยึดเกาะถนนได้ดี เช่น การเลือกยางที่มีส่วนผสมของซิลิก้า (Silica) สูง ทั้งนี้ การเลือกให้เหมาะสมกับสภาพอากาศจะช่วยให้การขับขี่เป็นไปด้วยดีมากขึ้น

2.ระยะทางที่ใช้งาน

     อีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ให้ความสำคัญไม่ได้เลยในการเลือกซื้อยางรถ EV นั่นก็คือ เรื่องของระยะทางการใช้งาน เนื่องจากว่าระยะทางที่มากขึ้นสามารถส่งผลกระทบต่อยางได้มากขึ้นด้วย จึงจำเป็นมากที่จะต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย เช่น หากว่าต้องมีการเดินทางไกลบ่อยๆ ก็ควรเลือกยางแบบที่มีค่า Rolling Resistance ต่ำ เพราะจะช่วยให้สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าของรถได้

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้า ติดต่อได้ที่ GWM Krabiหรือ โทร ☎️ 099-310-8265

5 เทคนิคการดูแลรักษารถยนต์ไฟฟ้า

1. มอเตอร์ไฟฟ้า

โดยปกติแล้ว มอเตอร์ไฟฟ้ามีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และไม่ต้องการการดูแลยิบย่อยเหมือนเครื่องยนต์สันดาป เจ้าของรถไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง หรือเปลี่ยนไส้กรองเหมือนรถที่ใช้น้ำมัน แต่เพื่อการใช้งานที่ยาวนาน ควรนำรถเช็กระยะตามกำหนดทุกครั้ง ให้ช่างได้ดูแลตรวจสอบความผิดปกติของมอเตอร์ไฟฟ้า เพราะหากขัดข้องขึ้นมา อาจทำให้คุณเจอปัญหาบานปลายได้

2. แบตเตอรี่

ปัญหาที่มักเกิดกับแบตเตอรี่ ส่วนมากจะเป็นเรื่องของความชื้นที่อาจไปกัดกร่อนชิ้นส่วนทางกลไก จนทำให้แบตเตอรี่ขัดข้องและมีอายุการใช้งานสั้นลง นอกจากนี้ ยังต้องระวังในเรื่องของความร้อนสะสมที่อาจมากเกินไป หากไม่จำเป็นจึงไม่ควรจอดรถไฟฟ้ากลางแจ้งหรือนอกที่ร่ม

เรื่องการชาร์จเองก็ส่งผลกับแบตเตอรี่เช่นเดียวกัน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าไม่ควรชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าทิ้งไว้นานเกินไป เพราะอาจส่งผลให้แบตเตอรี่ไฟฟ้าสึกหรอได้ แต่ก็ไม่ควรปล่อให้แบตเตอรี่ต่ำเกินไป เป็นระยะเวลานาน ๆ เช่นกัน เนื่องจากสุขภาพแบตเตอรี่อาจจะเสื่อมเร็วได้นั่นเอง

3. อุปกรณ์ชาร์จไฟ

ในส่วนของที่ชาร์จไฟฟ้า ควรเลือกใช้ที่ชาร์จเดิมที่มาพร้อมกับรถ เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองมาแล้วว่ามีความปลอดภัยและมีระบบการป้องกันประกายไฟ รวมถึงไฟฟ้าลัดวงจร สร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้งานได้มากกว่าหัวชาร์จที่ไม่ได้มาตรฐาน

4. ระบบเบรก

รถยนต์ไฟฟ้านั้น มักจะมีระบบเบรก 2 รูปแบบ ประกอบด้วย 

1. ระบบเบรกแบบ Regenerative Braking เมื่อคนขับเหยียบเบรก ตัวปั่นไฟจะหน่วงรถให้ช้าลงและเปลี่ยนแรงเฉื่อยของรถให้เป็นพลังงานไฟฟ้า และชาร์จไฟกลับไปยังแบตเตอรี่

2. ระบบเบรกแบบปกติ ที่จะถูกใช้งานเมื่อมีการเหยียบเบรกแบบกะทันหันหรือฉับพลัน

เมื่อระบบเบรกแบบ Regenerative Braking ถูกใช้งาน ระบบเบรกแบบปกติจะถูกลดบทบาทลง ซึ่งหากไม่ได้ใช้งานนาน ๆ ก็จะทำให้เกิดสนิมได้ เมื่อต้องการใช้งานจริง ๆ จึงอาจทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ผู้ขับขี่จึงควรดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ และเปลี่ยนผ้าเบรกใหม่เมื่อผ่านการใช้งานมาแล้ว 80,000 กิโลเมตร หรือเร็วกว่านั้นหากมีการใช้งานหนัก เช่น บรรทุกของเยอะ หรือขับด้วยความเร็วสูงเป็นประจำ

5. ยางรถยนต์

การดูแลรักษายางรถยนต์ไฟฟ้านั้นไม่ต่างจากรถยนต์ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการรักษาระดับความดันลมยางให้ถูกต้อง การตรวจสอบความดันลมยางและเติมลมยางอย่างสม่ำเสมอ (ดูคำแนะนำได้ในคู่มือรถ) หากยางลมอ่อนหรือแข็งจนเกินไป อาจทำให้เกิดการระเบิดและดอกยางเสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนดได้ ซึ่งปกติแล้ว ยางรถไฟฟ้าจะมีอายุการใช้งานแตกต่างกัน (ขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อ) แต่ส่วนใหญ่มักจะมีระยะการใช้งานที่ 20,000-50,000 กิโลเมตร โดยประมาณ

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้า ติดต่อได้ที่ GWM Krabiหรือ โทร ☎️ 099-310-8265

จุดเด่น ORA 07 

       ORA 07 รถยนต์ไฟฟ้าสปอร์ตคูเป้สมรรถนะสูง โดยก่อนหน้านี้มาโชว์ตัวในไทยในชื่อ “Grandcat” แต่แล้วก็เปลี่ยนใหม่โดยใช้เป็นตัวเลขเพื่อบ่งบอกถึงความเป็นลำดับเซกเมนต์ของรถยนต์ ORA นั่นเอง ด้วยคอนเซ็ปต์การออกแบบด้วยแรงบันดาลใจจากความงามแห่งธรรมชาติผสมผสานกับความสปอร์ต ที่พร้อมให้ทุกขณะของการขับขี่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเร้าใจ และยังดื่มด่ำไปกับสุนทรียภาพแห่งการดีไซน์ ด้วยวัสดุคุณภาพชั้นเยี่ยมและผิวสัมผัสต่าง ๆ ที่ถูกคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถัน

      ORA 07 รุ่น LONG RANGE อยู่ที่ 1,299,000 บาท และ ORA 07 รุ่น PERFORMANCE อยู่ที่ 1,499,000 บาท มาพร้อมกับเฉดสีภายนอกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีขาว (Jade White) สีเทา (Amethyst Grey) และสีพิเศษ ม่วง (Crystal Purple) ในรุ่น PERFORMANCE เฉดสีภายในมีให้เลือก 2 สี คือ สีดำ และสีน้ำตาล ซึ่งเบาะสีน้ำตาลจะเป็นสีพิเศษสำหรับรุ่น PERFORMANCE ซึ่งเลือกจับคู่ได้กับสีภายนอกสีม่วงและสีเทาเท่านั้น นอกจากนี้ ORA 07 ยังมาพร้อมการรับประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์ 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) และการรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือระยะทาง 180,000กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)              

จุดเด่น

  • ดีไซน์แบบรถสปอร์ตหรูยอดฮิต 
  • หลังคาแก้ว 2 ตอน 
  • ระบบความปลอดภัยเต็มคัน
  • มีกล้องรอบคัน เตือนออกนอกเลนระบบช่วยจอด 3 รูปแบบ
  • ภายในสปอร์ตสวย
  • จอกลางสัมผัสไหลลื่น
  • สปอยเลอร์เปิด-ปิดอัตโนมัติหรือสั่งเปิดเองได้
  • พลังมอเตอร์ไฟฟ้ากว่า 400 แรงม้า
  • วิ่งไกลกว่า 500 กม./ชาร์จ
  • ภายในกว้างขวางโปร่ง
  • กระจกประตูไร้ขอบแบบสปอร์ต 

ราคา

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้า ติดต่อได้ที่ GWM Krabiหรือ โทร ☎️ 099-310-8265

เปลี่ยนทะเบียนรถเพราะชำรุด ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง

    ป้ายทะเบียนรถซีด หลุดลอก ชำรุด หากเพิกเฉยไม่ยอมเปลี่ยนป้ายทะเบียนรถก็มีความผิดตามกฎหมาย ส่วนเอกสารและค่าใช้จ่ายในการขอเปลี่ยนป้ายทะเบียนรถใหม่ มีดังนี้

เอกสารในการยื่นขอเปลี่ยนทะเบียนรถใหม่แทนป้ายที่ชำรุด

  1. แผ่นป้ายทะเบียนรถเดิมที่ชำรุด
  2. เล่มจดทะเบียนรถและสำเนา
  3. บัตรประชาชนเจ้าของรถตัวจริงและสำเนา (หากไม่ได้ดำเนินการเองต้องมีหนังสือมอบอำนาจ)

ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนทะเบียนรถใหม่แทนป้ายที่ชำรุด

  1. ค่าคำขอ 5 บาท
  2. ค่าป้ายทะเบียนรถยนต์ 2 แผ่น 200 บาท

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้า ติดต่อได้ที่ GWM Krabiหรือ โทร ☎️ 099-310-8265

รู้จักการใช้งาน “ไฟฉุกเฉิน”

      ตาม พ.ร.บ.จราจร มาตรา 9 และกฎกระทรวงข้อ 11 กฎหมายกำหนดให้ใช้ไฟฉุกเฉิน เฉพาะกรณีรถเสียที่จอดอยู่กับที่เท่านั้น แต่ทุกวันนี้กลับพบผู้ใช้สัญญาณไฟฉุกเฉินกันผิดๆ ได้แก่

      1.การใช้ไฟฉุกเฉินเพื่อข้ามทางแยกหากเปิดไฟฉุกเฉินเพื่อข้ามทางแยก รถทางซ้ายและขวา จะเห็นไฟกระพริบเพียงมุมใดมุมหนึ่งเท่านั้น ทำให้นึกว่าคุณกำลังจะเลี้ยว จึงมิได้ชะลอความเร็วลง ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

       ข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง  ชะลอความเร็วก่อนถึงแยก มองซ้ายขวาให้รอบคอบ ให้รถทางเอกไปก่อนเสมอ ไม่จำเป็นต้องเปิดสัญญาณแต่อย่างใด

      2.ใช้ไฟฉุกเฉินเมื่อฝนตกหนักเนื่องจากขณะเปิดไฟฉุกเฉิน ไฟเลี้ยวจะไม่ทำงาน ทำให้รถที่ตามมา หรือ คันข้างๆ ไม่ทราบว่าเรากำลังจะเลี้ยวหรือเปลี่ยนเลน ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ อีกทั้งยังเป็นการรบกวนสายตาผู้อื่น เกินความจำเป็นอีกด้วย นอกจากนั้น หากมีรถเสียขึ้นมาจริงๆ และรถคันอื่นใช้ไฟฉุกเฉินกันอย่างพร่ำเพรื่อ อาจทำให้คันที่ตามมาเข้าใจผิดว่า ข้างหน้ามีจราจรติดขัด ทำให้จอดตามๆกัน

         ข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง 
      1.ใช้ความเร็วต่ำ และเปิดไฟหน้า
      2.ไม่เปลี่ยนช่องทางหากไม่จำเป็น และไม่ขับรถชิดคันหน้าจนเกินไป
      3.ไม่เปิดไฟสูง เพราะรบกวนสายตารถคันอื่นและตัวเองอีกด้วย
      4.หมั่นตรวจเช็คอุปกรณ์ส่องสว่างให้ใช้งานได้ปกติ

     หากรถของคุณติดตั้งไฟตัดหมอกหน้าและหลัง ควรใช้งานเมื่อทัศนวิสัยแย่มากๆเท่านั้นนะครับ โดยสังเกตดูง่ายๆว่า หากคุณไม่สามารถมองเห็นไฟท้ายของรถคันหน้า หรือ ไฟหน้าของรถคันหลัง ในระยะ 50-100 เมตร ก็อาจเปิดไฟตัดหมอกได้ เพื่อให้รถคันอื่นเห็นคุณจากระยะไกลขึ้น และเมื่อทัศนะวิสัยดีขึ้น ควรปิดทันที เพื่อไม่ให้แยงสายตารถคันอื่น

     เพียงเท่านี้ ก็จะช่วยให้ผู้ขับขี่ สามารถใช้ถนนร่วมกันอย่างปลอดภัยขึ้น

📍หากสนใจรถยนต์ไฟฟ้า ติดต่อได้ที่ GWM Krabiหรือ โทร ☎️ 099-310-8265

error: Content is protected !!