จอดรถตากฝน ทำให้สีรถหมอง จริงหรือ ?

จริง ๆ แล้วแสงแดดคือตัวการลำดับแรกที่มีผลทำให้สีรถหมอง แต่ฝนก็เป็นลำดับถัดมาที่ทำให้สีรถหมองได้เหมือนกัน เพราะฝนที่ตกลงมาในปัจจุบันไม่ได้เป็นหยดน้ำที่มีความสะอาดเหมือนในสมัยก่อน เนื่องจากสภาพอากาศในบ้านเราเต็มไปด้วยมลภาวะ ฝุ่นละออง สารเคมีต่าง ๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศ เมื่อฝนตกลงมาก็จะชะล้างสิ่งสกปรกเหล่านั้นลงมาด้วย ไม่ว่าจะขับรถอยู่หรือจอดไว้เฉย ๆ หากปล่อยไว้ให้แห้งโดยไม่ทำความสะอาดในทันที ก็จะเกิดเป็นคราบเคลือบชั้นผิวรถอีกทีหนึ่งทำให้สีรถดูหมอง หรือทิ้งไว้นานอาจกลายเป็นคราบที่ติดฝังแน่นได้ จะเห็นได้ชัดเจนในรถสีขาว

นอกจากการจอดรถตากฝนจะมีผลเสียกับภายนอกของตัวรถแล้ว ยังสามารถสร้างปัญหาให้กับอุปกรณ์ภายในเครื่องยนต์ได้เช่นกัน เพราะการจอดรถตากฝนเป็นระยะเวลานาน ๆ โดยเฉพาะช่วงเวลากลางคืน ชิ้นส่วนภายในห้องเครื่องจะเกิดความชื้นสะสม ส่งผลให้การสตาร์ตเครื่องรถยนต์ในตอนเช้านั้นทำได้ยาก หรืออาจสตาร์ตไม่ติดเลยก็เป็นได้

วิธีดูแลรถจอดตากฝน

1.ล้างและทำความสะอาดในทันที

          หากเป็นไปได้ในทุกครั้งที่ต้องจอดรถตากฝน หรือขับรถลุยฝนมา ควรเช็ดล้าง ทำความสะอาดในทันที โดยใช้น้ำสะอาดฉีดล้างตัวรถให้ทั่วเพื่อชะล้างเศษฝุ่น คราบต่าง ๆ ก่อน ไม่ควรใช้ผ้าเช็ดในทันที เพราะอาจทำให้สีรถเป็นรอย

2. หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด

          เมื่อรถยนต์ของเราเปียกฝน ไม่ควรนำรถไปโดนแสงแดดในทันทีโดยทียังไม่ได้เช็ดล้างทำความสะอาด เพราะแสงแดดจะทำให้น้ำระเหยออก และทิ้งร่องรอย คราบ ฝุ่นต่าง ๆ ไว้ที่ตัวรถ ทำให้สีรถดูหมอง ไม่เงางาม

3. เคลือบสีรถอยู่เสมอ

          ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงการจอดรถตากฝนได้ การเคลือบสีรถยนต์หรือการใช้น้ำยาขัดสีรถ อาจเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยปกป้องรถได้ในระดับหนึ่ง เพราะนอกจากสารที่เคลือบชั้นสีตัวรถอยู่นั้นจะช่วยไม่ให้น้ำ หรือสิ่งสกปรกต่าง ๆ ติดบนพื้นผิวของรถได้ง่าย ยังช่วยป้องกันรังสี UV หากจำเป็นต้องจอดรถตากแดด และที่สำคัญการเคลือบสีรถยังช่วยลดริ้วรอยต่าง ๆ ได้อีกด้วย

4.จอดในที่ร่มดีที่สุด

          ไม่ว่าจะวิธีไหน ๆ การจอดรถในที่ร่ม หรือที่ที่มีหลังคาก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องรถยนต์จากทั้งน้ำฝนและแสงแดด หากไม่สามารถหาได้จริง ๆ อาจเลือกใช้ผ้าคลุมรถเป็นการป้องกันในเบื้องต้นก่อน

          อย่างไรก็ตาม การจอดรถตากฝน หรือตากแดดอาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากในปัจจุบัน ด้วยข้อจำกัดในเรื่องของพื้นที่และลักษณะของที่อยู่อาศัยซึ่งอาจมีที่จอดรถไม่เพียงพอ ดังนั้น เราควรหมั่นล้าง ทำความสะอาด และเคลือบสีเป็นประจำ เพื่อให้รถยนต์สะอาด เงางาม ดูใหม่อยู่เสมอ

 เจ้าเหมียว ORA Good Cat สุดล้ำ พร้อมเทคโนโลยีเเห่งอนาคต

ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมการช่วยเข้าโค้งอัจฉริยะ

ปรับลดความเร็วอัตโนมัติเมื่อมีรถอยู่ด้านหน้า และควบคุมความเร็วของรถให้คงที่ พร้อมฟังก์ชันที่พิเศษกว่าใครกับระบบช่วยเข้าโค้งอัจฉริยะ ช่วยลดความเร็วขณะเข้าโค้ง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุให้การขับขี่ปลอดภัยขึ้นอีกขั้น

ระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะ 3 รูปแบบ ให้คุณถอยจอดง่าย สบายกว่าเคย

สัมผัสการจอดรถที่สะดวกสบายแบบที่คุณไม่ต้องควบคุมพวงมาลัยเองโดยระบบจะตรวจจับวัตถุและเครื่องหมายบริเวณช่องจอดพร้อมคำนวณพื้นที่และช่วยควบคุมรถให้จอดเองอัตโนมัติครอบคลุมการจอดรถมากถึง 3 รูปแบบ

ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินบนทางตรงและทางแยก ช่วยให้ระบบการขับขี่ปลอดภัย สามารถเบรกได้ทันที

มอบความปลอดภัยให้ทั้งคุณและเพื่อนร่วมทางบนท้องถนนด้วยเซนเซอร์ตรวจจับทางแยกคนเดินถนนร่วมถึงรถด้านหน้า และหลังพร้อมส่งสัญญาณเตือนด้วยเสียงและเบรกอัตโนมัติเพื่อการขับขี่ที่ไร้กังวลในทุกเส้นทาง

🚗 ฟีเจอร์สุดล้ำใน  HAVAL H6 PHEV ช่วยให้ชีวิตของคุณเหนือชั้นกว่าเดิม 

⚡️ 1 Charge = 201 KM ชาร์จครั้งเดียว เที่ยวได้ไกล 200 กิโลเมตร

✅ Kick Sensor เพิ่มความสบายให้ชีวิต เปิดฝาท้าย ไม่ต้องสัมผัส

✅ ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ 3 รูปแบบ ที่เปลี่ยนเรื่องจอดยาก ให้เป็นเรื่องง่าย สบายกว่าที่เคย

🚗ถอยจอดอัตโนมัติแนวตรง
🚗ถอยจอดอัตโนมัติแนวเฉียง
🚗ถอยจอดอัตโนมัติเทียบด้านข้าง

เลือกไม่ได้ใช่ไหม? ระหว่าง น้ำมัน⛽ vs ไฟฟ้า⚡

GWM จัดให้! พลังงานขับเคลื่อนทั้ง 2 รูปแบบ

All New “HAVAL H6 PHEV Plug-in Hybrid” นวัตกรรมใหม่ที่ผสานเทคโนโลยี EV และน้ำมันเข้าด้วยกัน ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ให้ทุกเส้นทางประหยัดและสัมผัสประสบการณ์ใหม่ของพลังงานเครื่องยนต์จากมอเตอร์ไฟฟ้า


ล้ำกว่า! >> ด้วยเทคโนโลยีจากโลกแห่งอนาคต ที่ช่วยสร้างมาตรฐานใหม่ของระบบความปลอดภัยต่างๆ ที่คอยช่วยเหลือคุณในระหว่างการขับขี่

คุ้มกว่า! >> ด้วยขุมพลังเทคโนโลยีที่ผสานกันระหว่าง EV และน้ำมัน ให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ของความประหยัด 

จอยกว่า! >> ด้วยกำลังแรงบิดของเครื่องยนต์ที่ทำงานควบคู่ไปกับมอเตอร์ไฟฟ้า ขับสนุกกว่าด้วย 8 โหมดการขับขี่ ทั้งจากระบบไฟฟ้าและไฮบริด

วิธียืดอายุการใช้งานเเบตเตอรี่

มีน้องเหมียวน่ารักๆ แบบนี้ ก็อยากที่จะขับไปนานๆ 💙

        ใครที่มีน้องเหมียว 😻 ไว้ครอบครองต้องลองวิธีนี้ กับวิธียืดอายุการใช้งานแบตเตอรรี่ไฟฟ้า🔋⚡ สำหรับน้องเหมียว ORA Good Cat จะเป็นอย่างไรบ้างไปดูกัน ✨ 

🔋ใช้แบตให้ SOC น้อยกว่า 10%

🔋ชาร์จ 100% อย่างน้อย 1 ครั้ง/สัปดาห์ ด้วย AC EV Charger (ไม่ต้องรีเซ็ท SOC)

🔋จอดรถมากกว่าหรือเท่ากับ 1 ชั่วโมง ก่อนและหลังการใช้งาน

🔋จอดรถมากกว่า 1 ชั่วโมง ก่อนใช้งาน  และ ก่อนชาร์จจนเต็ม 100% ด้วยAC EV Charger

เรื่อง ( ไม่ ) ลับ ของเเบตเตอรี่ Ora Good Cat

ORA Good Cat รถยนต์ไฟฟ้า 100% ไม่ได้มีดีแค่ความสวยนะ แต่ความดีงามของเทคโนโลยีในแบตเตอรี่ที่เป็นขุมพลังให้กับเหมียว ยังโดดเด่นไม่แพ้ความสวย ตามมาส่องกัน

Battery ของทั้ง 2 รุ่นถูกจัดมาอย่างเฉพาะเพื่อความเหมาะสม

👍 รุ่น 400 TECH และ 400 PRO ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟต (LFP) ที่มีความจุ 47.788 kWh ขับได้ไกลสูงสุด 400 กิโลเมตร*

👍 รุ่น 500 ULTRA ใช้แบตเตอรี่ลิเธียม Ternary (NMC) ความจุ 63.139 kWh ขับได้ไกลสูงสุด 500 กิโลเมตร*

และแบตเตอรี่ของ ORA Good Cat ยังมาพร้อมระบบระบายความร้อน LIQUID COOLING SYSTEM* ที่ช่วยให้ทุกการขับขี่ของคุณไร้กังวล**

*อ้างอิงผลการทดสอบระยะทางการขับขี่ด้วยไฟฟ้าตามมาตรฐาน New European Driving Cycle (NEDC Standard) ทั้งนี้ระยะทางการขับขี่ที่ได้รับจริงอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น อุณหภูมิแวดล้อม สไตล์การขับขี่ จำนวนผู้โดยสารในรถ เป็นต้น

**ระบบระบายความร้อนจะทำงานควบคู่กับปัจจัยเกี่ยวเนื่อง 4 ประการ ได้แก่ ระดับความชัน น้ำหนักบรรทุก ลักษณะการขับขี่ และลักษณะทางกายภาพของเส้นทาง

 

Charging เพื่อเติมพลังให้เหมียว แบบ Fast Charge

ทั้ง 2 รุ่นสามารถเติมพลังให้เต็มเร็วด้วยระบบไฟฟ้ากระแสตรง DC ซึ่งใช้เวลาประมาณ 32 นาทีในรุ่น 400 TECH และ 400 PRO และ ประมาณ 40 นาทีในรุ่น 500 ULTRA จากปริมาณแบตเตอรี่ที่มี 30% -> 80% ก็พร้อมให้คุณออกเดินทางต่อด้วยการชาร์จเพียง 1 ครั้ง*

*อ้างอิงผลการทดสอบระยะทางการขับขี่ด้วยไฟฟ้าตามมาตรฐาน New European Driving Cycle (NEDC Standard) ทั้งนี้ระยะทางการขับขี่ที่ได้รับจริงอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น อุณหภูมิแวดล้อม สไตล์การขับขี่ จำนวนผู้โดยสารในรถ เป็นต้น

สนใจทดลองขับ คลิก!ลงทะเบียนทดลองขับกับ GWM Chookiat Krabi

 

3 รูปแบบสุดล้ำ พลังงานขับเคลื่อนไฟฟ้าจาก GWM

ความล้ำของพลังงานขับเคลื่อนไฟฟ้า xEV จาก GWM ที่พร้อมให้ทุกคนได้สัมผัสกับเทคโนโลยีขับเคลื่อนทั้ง 3 รูปแบบ

HEV (Hybrid electric vehicle) ⛽🔋

ยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริดที่เครื่องยนต์ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้มีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ต่ำกว่า ซึ่งระบบขับเคลื่อนแบบ HEV ไฮบริดแบบนี้ จะอยู่ใน HAVAL H6 และ HAVAL JOLION

 

– PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) ⛽⚡💧

ยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอิน ยานยนต์ไฟฟ้าที่พัฒนาต่อยอดมาจาก HEV (ระบบไฮบริด) ซึ่งจะอัปเกรดเพิ่มระบบเสียบปลั๊กชาร์จไฟขึ้นมา ให้เข้ากับการใช้งานในประเทศไทยมากขึ้น เนื่องจาก สามารถการทำงานได้ทั้ง 2 ระบบ (น้ำมัน และ ไฟฟ้า) ทำมอเตอร์ไฟฟ้าในระบบ PHEV สามารถวิ่งได้ในระยะทางที่ไกลกว่า HEV ซึ่งระบบขับเคลื่อนแบบ PHEV ปลั๊กอินไฮบริดจะอยู่ใน HAVALH6 PHEV

 

– BEV (Battery Electric Vehicle) ⚡🔋

ยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ ที่จะใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งหมดเป็นตัวขับเคลื่อน และใช้การชาร์จไฟฟ้าเพื่อเติมพลังงานเข้าไปยังมอเตอร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งข้อดีคือจะไม่มีควันไอเสียปล่อยทิ้งเป็นมลพิษทางอากาศ ช่วยให้คุณประหยัดขึ้นได้มากขึ้น ซึ่งระบบขับเคลื่อนแบบ BEV ยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ จะอยู่ใน ORA GOODCAT และ ORA GOODCAT GT

 

ตามหาคำตอบของความล้ำของยานยนต์ EV ทั้ง 3 รูปแบบจาก GWM ได้แล้ววันนี้ ที่ GWM Krabi 

หรือสนใจทดลองขับ คลิก! ลงทะเบียนทดลองขับกับ GWM Chookiat Krabi

รถยนต์ไฟฟ้า ทำประกันรถยนต์ประเภทใดได้บ้าง?

        รถยนต์ไฟฟ้าเริ่มเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมในประเทศไทยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ Hybrid ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบน้ำมันและไฟฟ้า ไปจนถึงรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเดียว ซึ่งผสมผสานเทคโนโลยีที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ทั้งนี้ เมื่อตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้งาน หลายคนยังเกิดคำถามว่าจะต้องทำประกันรถยนต์แบบไหน? วันนี้เราจะพาไปหาคำตอบกัน

รถยนต์ไฟฟ้าสามารถทำประกันแบบไหนได้บ้าง?

       เชื่อว่าคงเป็นคำถามที่หลายคนสงสัยกันอย่างแน่นอน กับเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้าสามารถทำประกันรถยนต์ได้ไหม? ต้องขอตอบเลยว่า “สามารถทำได้” โดยสามารถทำประกันรถยนต์ได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นประกันรถยนต์ชั้น 1,2,2+,3 และ 3+ เพราะรถยนต์ไฟฟ้านับเป็นรถยนต์ประเภทหนึ่งที่ขับขี่บนท้องถนน แต่ในเรื่องของเบี้ยประกันรถยนต์ไฟฟ้าอาจจะมีราคาสูงกว่าการทำประกันรถยนต์ทั่วไปนิดหน่อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความผันผวนของราคาแบตเตอรี่ไฟฟ้า แต่ในอนาคต หากแบตเตอรี่ราคาอยู่ในระดับคงที่ ราคาประกันก็จะอยู่ในระดับปกติกับรถยนต์ทั่วไปนั่นเอง

      เป็นยังไงกันบ้างกับข้อมูลรถยนต์ไฟฟ้าที่เรารวบรวมมาให้ได้รู้กัน รวมถึงเรื่องของการทำประกันรถยนต์ไฟฟ้า ที่จะช่วยให้ผู้ที่กำลังสนใจรถยนต์พลังงานทางเลือกใหม่อย่างรถยนต์ไฟฟ้าตัดสินใจได้ง่ายมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าคุณจะขับรถยนต์แบบทั่วไปรถยนต์ไฟฟ้า หรือวางแผนจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต การทำประกันรถยนต์ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากจะได้รับความคุ้มครองและประหยัดค่าใช้จ่ายเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้ว ยังช่วยสร้างความอุ่นใจให้ผู้ขับขี่อีกด้วย

รถยนต์น้ำมัน VS รถยนต์ไฟฟ้า แบบไหนประหยัดกว่ากัน

     ปัจจัยหลักที่จะทำให้ประชาชนตัดสินใจที่จะเปลี่ยนรถยนต์ในเร็วๆ นี้ หันมาโฟกัสยานยนต์ไฟฟ้า (EV) มากขึ้นนั้น นอกจากจะสามารถชาร์จที่บ้านตามความต้องการแล้ว ค่าไฟที่ถูกกว่าอาจจะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

    สำหรับอัตราการเติบโตของยอดจองรถยนต์ไฟฟ้า (EV) หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือราคาน้ำมันที่แสนแพงและมีความผันผวนมากขึ้น ยิ่งรัฐบาลไทยออกมาตรการอุดหนุนมอบส่วนลดต่างๆ เพื่อให้ราคารถไฟฟ้าเทียบเท่ารถเติมที่น้ำมัน สะท้อนให้เห็นกระแสความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการรถพลังงานสะอาดเป็นทางเลือกยังมีความต้องการอีกไม่น้อย 
  นอกจาก 2 ปัจจัยดังกล่าวแล้ว ผู้ใช้รถไฟฟ้ายังถูกมองเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ใส่ใจธรรมชาติ เพราะรถไฟฟ้าจะไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเป็นปัญหาในยุคปัจจุบันสอดคล้องกับนานาประเทศ

     วันนี้ GWM Krabi จะขอโฟกัสเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงกับไฟฟ้า โดยอ้างอิงจากเว็บไซต์ driveelectric ระบุว่า การขับรถด้วยรถยนต์ไฟฟ้ามีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเพียง 1 บาทต่อกิโลเมตร หากเทียบกับปัจจุบันราคาน้ำมันจะเฉลี่ย 1 ลิตร (โซฮอลล์ 95 คือ 31 บาท) วิ่งในระยะทางตรงได้ 15 กิโลเมตรต่อลิตร เท่ากับว่ามีค่าใช้จ่าย 2.06 บาทต่อกิโลเมตร ถือว่าแพงกว่าเท่าตัว

     อีกทั้ง ยังประหยัดในเรื่องของการซ่อมบำรุงเพราะรถไฟฟ้าไม่มีเครื่องยนต์ หัวใจหลักอยู่ที่แบตเตอรี่และมอเตอร์ที่มีการประกันแบตเตอรี่ 8 ปี

ขั้นตอนการชาร์จ Ora Good Cat เเบบละเอียด

ขั้นตอนของการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Ora Good Cat มีขั้นตอนยังไง ไม่ต้องเป็นกังวลกันไป เพราะวิธีการชาร์จไฟง่ายกว่าที่คิด !

  1. จอดรถให้สนิท

จอดรถในจุดชาร์จ เปลี่ยนเป็นเกียร์ N พร้อมกดปุ่ม P (เบรคมือไฟฟ้า)

  1. กดปุ่มตัดไฟของรถ

ปุ่มจะมีสัญลักษณ์รูป สายฟ้า กดหนึ่งครั้งเพื่อปิดระบบไฟฟ้าของตัวรถ

 

  1. เสียบสายชาร์จ 

นำสายชาร์จ มาเสียบ เข้ากับช่องชาร์จ ของตัวรถ Ora Good Cat ช่องชาร์จจะอยู่ด้านข้างตัวรถ ฝั่งผู้โดยสาร

 

  4. ใช้การ์ดเเตะกับเครื่องชาร์จ

นำการ์ดสำหรับชาร์จ มาเเตะตรงตัวเครื่องชาร์จ เมื่อเเตะเเล้ว ไฟจะขึ้นเป็นสีฟ้า ถือว่าเครื่องได้ทำการชาร์จเเล้วเรียบร้อย

5.เช็คระยะเวลาการชาร์จ

หน้าปัดรถจะขึ้นสถานะ กำลังชาร์จ พร้อมระยะเวลาในการชาร์จ

เมื่อชาร์จเต็มเเล้ว หรือ ต้องการยกเลิกการชาร์จ สามารถทำได้โดยนำการ์ดชาร์จ มาเเตะที่ตัวเครื่องชาร์จ เพื่อยกเลิกระบบการชาร์จ ทำการปลดล๊อครถ จากนั้นก็ดึงหัวชาร์จ ออกจากตัวรถของเราได้เลย

error: Content is protected !!